ข่าว > ข่าวดาราทั้งหมด > สัมภาษณ์ดารา

'ฐิสา' โสดอย่าง เหงาๆ เพราะโลกส่วนตัวสูง

12 ก.ย. 2559 10:54 น. | เปิดอ่าน 1525 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

 

เป็นนางเอกสาวที่ไม่ค่อยมีข่าวหวือหวา เพราะหัวใจโสดสนิท แต่ก็ยังมีผลงานละครต่อเนื่องมาให้แฟน ๆ ได้ติดตามตลอด สำหรับ ฐิสา - วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร นางเอกละคร "ข้ามาคนเดียว" ทางช่อง 7 วันนี้ฐิสามาเยือน "ดาวต่างมุม" ให้ได้อัพเดทชีวิตและความรักกัน โดยเฉพาะเรื่องราวของหัวใจว่ามีใครมาแทนที่รักเก่าอย่าง กัน - นภัทร อินทร์ใจเอื้อ หรือเปล่า 

ที่มา: ดาวต่างมุม เดลินิวส์ / ภาพ: @thivaritthisa (IG)


การทำงานละคร "ข้ามาคนเดียว" เป็นอย่างไรบ้าง? 
หนูก็รับบทเป็นแขมแข จะเป็นคนที่เพิ่งจบจากเมืองนอกมาแล้วก็มาช่วยธุรกิจโรงเลื่อยไม้ของที่บ้าน คาแรกเตอร์ก็จะเป็นคนที่ตรงไปตรงมา รักความถูกต้อง คือทำอะไรใช้ความยุติธรรม บทนี้ถามว่ายากไหม ก็อาจจะไม่ได้ไกลตัวมาก แต่ก็เหมือนในบทก็จะเป็นผู้ใหญ่ โตขึ้นอีกสเต็ปหนึ่ง เหมือนเขาจะเป็นคนที่คิดอะไรรอบคอบก่อนทำทุกครั้ง บทนี้ก็ต่างจากที่เคยเล่นนะคะ ทุกเรื่องก็มีความต่าง อาจจะเป็นบทที่ใกล้เคียงกันก็จริง แต่ตัวละครตัวนี้โตขึ้น เขาจะคิดก่อนทำ เวลาเราเล่นเราก็ต้องคิดก่อน ตัวละครตัวนี้ค่อนข้างมีเหตุผลที่เวลาทำอะไรต้องชัดเจน ตอนทำงานก็มีได้คุยกับพี่หลุยส์-สยาม สังวริบุตร ที่ลงมาดูเอง ก็มีลองได้เวิร์กช็อป กันสั้น ๆ ก่อนเล่น ได้คุยกันว่าอยากให้ตัวละครออกมาแบบไหน ซึ่งพี่หลุยส์ก็บอกว่าไม่ได้ต้องการให้เป็นนางเอกเรียบร้อย ให้เป็นคนจริง ๆ อาจจะลุย ๆ ซึ่งเราก็ต้องปรับตัวหลายอย่างเหมือนกัน อย่างแรกคงเป็นวิธีคิดของตัวละคร เราต้องคิดอะไรที่โตกว่าตัวเองมากขึ้น บุคลิกภาพอาจจะบ้านรวยเป็นคุณหนู แต่ก็ไม่เรียบร้อย การทำงานของเราที่อยู่โรงเลื่อยไม้ก็จะทำให้เราเป็นคนลุย ๆ และช่วงที่เราสืบหาความจริง เราต้องควบคุมสถานการณ์ ก็ต้องจริงจังหน่อย


พอใจในการแสดงของตัวเองหรือยัง? 
มันก็ยังต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นะคะ แต่ละงานก็ไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่เราทำมันก็ยังไม่ครบทุกอย่าง อย่างบทตัวละครเราก็ยังไม่ได้รับครบทุกบท มันก็ด้วยระยะเวลาที่เราทำงานมันก็ยังไม่เยอะมาก ละครที่ผ่านมาก็ไม่ได้รับเยอะมาก ก็ค่อย ๆ รับมาเรื่อย ๆ เราก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไป สำหรับตัวหนูเองคิดว่าเราต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ แต่ละตัวละครก็ไม่เหมือนกัน ทุกทีที่เวลาเราทำการบ้านเราก็ต้องคอยเข้าใจให้ได้ว่าตัวนี้เขาคิดยังไง เขาทำอะไร ซึ่งด้วยความที่วัยเราโตขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดของเรามันก็ต้องเปลี่ยน การตีความการทำงานเราก็ต้องเปลี่ยน ตอนนี้ก็ยังอยากพัฒนาไปเรื่อย ๆ นะ อยากลองอะไรที่ท้าทายหรือแตกต่างจากที่เราเล่น ถ้ามีโอกาสที่เราทำงานก็ทำไปเรื่อย ๆ แหละ ไม่อยากไปจำกัดโอกาสว่าเราจะต้องทำงานอีกกี่ปี แล้วต่อไปเราจะต้องเป็นยังไง


ทัศนคติต่อวงการบันเทิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? 
ทั้งเรื่องในวงการบันเทิง หรือว่าชีวิตจริง ทุกอย่างมันมีสองด้าน แล้วแต่เราเลือกที่จะรับมัน มันก็มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี เราก็เลือกได้ เราก็เลือกซึมซับในด้านดี ๆ ดีกว่า คือหนูว่าวงการบันเทิงคนข้างนอกอาจจะมองอีกแบบหนึ่ง แต่เราทำงานทุกอย่างมันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันก็อาจจะต้องมีอุปสรรคบ้าง แต่เราเลือกที่จะทำงานในวงการนี้แล้ว เราก็ต้องอยู่กับมันให้มีความสุข ทำงานแต่ละอย่างให้ตั้งใจและทุ่มเทกับมัน เราก็ต้องเข้าใจกับสิ่งที่เราอยู่ เราก็ต้องเข้าใจว่าวงการนี้เราต้องเจออะไรบ้าง อย่างที่บอกการทำงานไม่ต้องในวงการบันเทิงหรอก การทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน มันมีอุปสรรคอยู่แล้ว เพียงแต่แค่ในวงการบันเทิงมันมีอุปสรรคอะไรบ้าง สิ่งที่เราเจอ อย่างต้องมีคนข้างนอก ต้องมีคนมารู้จัก รุมล้อม จับตาดูเรา อย่างเรื่องข่าวนี่เป็นเรื่องปกติมากที่ต้องเจอ เพียงแต่ว่าเราจะจัดการมันยังไง เราจะอยู่ยังไงกับมัน

 

 

วงการบันเทิงสอนอะไรให้เราบ้าง? 
ด้วยความที่มันมีสองด้าน ทั้งด้านบวกและด้านลบ เราก็รับแต่สิ่งที่ดี ๆ มา เราก็ได้ประสบการณ์แล้วกัน ถ้าคนที่ไม่ได้มาทำงานตรงนี้ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าต้องทำยังไง หนูอาจจะต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เราก็ต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น เราก็โตกว่าคนอื่น เราก็ได้ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ทำ คงไม่มีใครหรอกที่อยู่ ๆ จะมาขึ้นสลิง ได้ทำอะไรที่แปลกใหม่ในชีวิต อาชีพนี้ก็ทำเราเจอคนที่หลากหลายนะ แต่ละคนที่เราเจอก็ความคิดไม่เหมือนกัน เราก็ได้แชร์ความคิด การทำงาน แชร์ประสบการณ์กันไป


แรก ๆ ที่เข้ามาอยู่ ปรับตัวยากไหม? 
ถ้าสำหรับหนูไม่ค่อยนะคะ ด้วยความที่ว่าเราไม่ใช่คนที่คุยกับคนยาก ถ้าเป็นเรื่องการทำงาน เรื่องผู้คนนี่ปรับตัวได้ แต่ว่าอาจจะยากตรงที่ตารางเวลามากกว่า อย่างที่บอกคือเราทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ตรงนี้ก็เลยกลายเป็นข้อจำกัดหลายอย่าง แต่ตอนนี้เรียนจบแล้วการทำงานก็คล่องตัวได้เยอะขึ้น เราจัดการเวลาได้ดีขึ้น แต่ก่อนเวลาตีกันบางทีก็ไม่ได้ไปเรียนบ้าง แต่ว่าตอนนี้เราก็ทำงานเต็มที่ พอมองย้อนกลับไปเออ เราก็ทำได้ด้วยเนาะ คือตอนนั้นยอมรับเลยว่า มันหนักมาก คนอื่นเขาก็คงเคยเจอแหละ แต่เราก็ผ่านมาได้


ผ่านตรงนั้นมาแล้ว ถ้าเรียนปริญญาโทอีกใบสบายเลย? 
เรียนโทก็อยากเรียนนะคะ แต่ด้วยความที่ตัวหนูอาจจะยังค้นหาตัวเองไม่ได้ด้วยว่าอยากเรียนอะไร เพราะเรียนโทมันเฉพาะมาก ๆ หลายคนที่ต่อเขาก็บอกว่ามันก็หนักนะ ถ้าสมมุติว่าตัวหนูเรียนไปแล้วไม่ได้ใช้ มันก็จะซ้ำรอยตอนปริญญาตรีหรือเปล่าที่ทำให้เราไม่มีเวลาไปเรียน ไม่ได้ใช้เวลากับมันเต็มที่ แล้วด้วยความชอบ เราอาจจะชอบอะไรที่มันไม่ต้องต่อโท อย่างชอบทำขนม อาจจะเน้นไปทางนั้นมากกว่า ทำให้เราอาจจะสนใจเรียนทางนี้ไปก่อน ถ้าเรื่องต่อโทค่อยว่ากัน


รักในงานแสดงหรือยัง? 
สำหรับตัวหนูก็เรียกว่ารักได้นะ เพราะทุกวันการทำงานเราก็มีความสุขกับการทำงานนะ เราไม่ได้ทำงานเพราะเราต้องทำ หรือว่าต้องตื่นเช้าไปกองอีกแล้ว ไม่ได้คิดแบบนั้นเลย เราไปกองเราก็อยากไปทำงาน ไปเจอเพื่อน ๆ ที่กอง หนูไม่ได้คิดว่าจะต้องอยู่ตำแหน่งไหน ที่หนูคิดคือ จะอยู่ยังไงให้อยู่ได้ต่อไปเรื่อย ๆ แล้วยังมีคนอยากเจอเราอยู่ อยากเห็นเราอยู่

 

 

การเป็นดาราต้องใส่ใจคนรอบข้าง อึดอัดบ้างไหม? 
ถ้าชีวิตประจำวันก็ใช้ชีวิตเป็นตัวเองนะคะ ออกไปข้างนอก ไปเดินห้างก็ทำตัวปกติมาก เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป แต่คนอาจจะเห็นเราเป็นนักแสดงก็อาจจะจับตาดูเรา เราทำอะไรก็คิดมากขึ้น ระวังตัวมากขึ้น ทำอะไรก็ต้องคิดว่า ถ้าทำสิ่งนี้จะออกมาดีไม่ดี หรือว่าจะเสียหายถึงครอบครัวเราไหม ด้วยการใช้ชีวิตประจำวันหนูก็ใช้ชีวิตเป็นตัวเอง เราไม่ได้คิดว่าเราจะต้องเป็นแบบโน้นแบบนี้ ถ้าชีวิตตัวเองเรายังต้องจำกัด เวลาเป็นส่วนตัว หนูว่าเราจะอึดอัดมากกว่าการใช้ชีวิตก็ไม่ได้ลำบากไปกว่าตอนเป็นคนธรรมดา เพียงแต่ว่าตอนไหนที่เราอยากเป็นส่วนตัวจริง ๆ ก็จะบอกว่า ขอนะ เราก็ต้องเลือกที่จะทำกับเขาดี ๆ หรือพูดกับเขาดี ๆ ให้เขาเข้าใจ


การเป็นนักแสดงนี่เป็นความฝันหรือเปล่า? 
ถ้าเอาจริง ๆ ไม่เลย มันอาจจะเป็นโอกาส ถ้าสำหรับหนูจุดเริ่มต้นมันคือโอกาสเล็ก ๆ ในชีวิต มันมีสองทางให้เราเลือกว่า เราจะลองไหม ถ้าไม่ลองก็ไม่เป็นไร ก็ใช้ชีวิตปกติของเราไป แต่ตอนนั้นก็คิดว่า อยากลองทำดู หนูว่ามันคงเป็นความรู้สึกแค่ช่วงเดียวว่า อยากรู้มันเป็นยังไง หนูว่ายังมีหลายคนที่อยากทำแต่ไม่มีโอกาส ของหนูมันก็ไม่ใช่โอกาสที่แบบจับใส่พานมาสบาย หนูก็ไม่ได้สบายนะคะ ทีแรกที่บ้านก็กลัวว่าจะโดนหลอกเหมือนกัน แล้วทุกคนอยากให้หนูเรียน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของยุคนั้น ณ วันนี้ก้าวเข้ามาแล้วก็ทำมันต่อไป แรก ๆ อาจจะไม่ได้รัก แต่อยู่ ๆ ไปมันรักเอง แรก ๆ อาจจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ในชีวิตเรา เปลี่ยนเราเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เราก็ปรับตัวให้เข้ากับมันได้ อยู่กับมันได้ ไหน ๆ เราก็เลือกมาแล้ว เราก็ทำงานให้มีความสุขสิ ตอนนี้ก็อยู่มา 6-7 ปีแล้ว ไวมาก แต่ที่ผ่านมาด้วยความที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย อาจจะไม่ได้มีผลงานเยอะแน่นเท่าคนอื่น แต่ว่าหนูก็อยู่ไปเรื่อย ๆ


ความรักเป็นอย่างไรบ้างช่วงนี้ ยังคุยกับกัน (นภัทร อินทร์ใจเอื้อ) อยู่ไหม? 
ไม่มีอะไรอัพเดทจริง ๆ ก็มีคุยบ้าง ก็เป็นเพื่อนกัน ถ้าสำหรับในมุมของหนูนะ เราก็ยังเป็นห่วงและหวังดีต่อเขา เป็นกำลังใจให้ในทุก ๆ สิ่งที่เขาทำ


เป็นข่าวกับกันมาตลอดเป็นอุปสรรคสำหรับคนที่จะเข้ามาจีบบ้างไหม? 
สำหรับหนูอุปสรรคเรื่องนี้มันอยู่ที่ตัวหนูเองมากกว่า โอเคข่าวก็คือข่าว ณ จุดนี้เราก็รู้ตัวเองว่า เราอยู่ในฐานะอะไร หนูก็เปิดใจนะ แต่ถ้าจะมาคุยอะไรแบบนี้คุยยาก หรือว่าถ้าคุณเข้ามาแล้วเรารู้ว่า คนนี้จะจีบเรา ก็จะคิดเยอะขึ้นมาทันที แต่ก่อนก็อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้เราอาจจะโตขึ้นมาด้วย มีความรับผิดชอบ มีความคิดเยอะขึ้น เวลาคนที่จะเข้ามา คือถ้าจะคุยแบบนั้น มันต้องใช้เวลาเยอะมากเลย เขาอาจจะต้องอดทนกับหนูมาก ไม่เกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียง หนูไม่ได้คิด แต่คิดว่าถ้าเข้ามาอย่างนี้เขาต้องเข้าใจเรา หนูก็ต้องมีภาระที่รับผิดชอบ มีสิ่งที่ทำ อาจจะต้องรอ

 

 

มีสเปกหนุ่มไหม? 
ไม่ได้วางนะคะ เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกถ้าพูดตรง ๆ มันก็ต้องมีดูบ้าง แต่ว่าหนูไม่ได้มองว่า ถ้าไม่หล่อแล้วเราจะตัดไปเลย เพียงแต่ว่าตอนแรกหนูก็คงจะดูบุคลิกภาพ ไม่ใช่ว่ามานั่งกระดิกขา แคะสิว หนูก็ไม่โอเคนะ มันก็คงต้องเป็นความประทับใจแรกพบ มันต้องโอเคในระดับหนึ่ง หนูจะเน้นการพูดคุยกันมากกว่า แบบไม่ต้องเกร็ง ไม่อึดอัด อันนั้นก็คือด่านแรกแล้ว แต่มันก็ยังไม่ได้ผ่านซะทีเดียว ต้องเข้าใจเราหลายอย่างค่ะ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครมาจีบหนูเลย (หัวเราะ) ไม่มีเลย เอาจริง ๆ มันคงเป็นเพราะไม่ค่อยได้ออกไปเจอใคร เพราะหนูเป็นคนถ้าเพื่อนชวนให้มาเจอกันบ้างสิ พอถามว่ากี่โมง ถ้าดึกหนูก็ไม่ไป หนูไม่ชอบใช้ชีวิตตอนกลางคืน คือถ้าจะคบหนูนี่ต้องกินข้าวกลางวันและต้องเดินห้าง (หัวเราะ) ถ้าอยากจะเจอก็แบบ เดี๋ยววันนี้ไปเต้น ไปออกกำลังกาย หรือว่าไม่ว่างแล้ว ไปวัด อะไรแบบนี้ค่ะ แค่นั้นเอง


คนที่จะเข้ามานี่ถ้ามีชีวิตแตกต่างจากนี้ไม่ได้แล้ว? 
ก็คงต้องมีไลฟ์สไตล์คล้าย ๆ กัน คือถ้าให้ไปทำอะไรที่แบบลุย ๆ หนูก็ทำได้นะ เพียงแต่ว่าหนูอาจจะมีโลกส่วนตัวของตัวเองด้วยแหละ แต่ถ้าเขาเข้าใจ ณ ตรงนั้น เข้าใจในชีวิตประจำวัน อาจจะเป็นเพราะที่บ้านหนูไม่ค่อยปล่อยด้วยค่ะ ทุกวันนี้ถ้าไปทำงานแม่ยังไปด้วยตลอด หนูเพิ่งจะมาขับรถไปไหนมาไหนเองนี่ยังไม่ถึงปีเลยนะ ที่บ้านเขาก็หวงแหละ แต่คงอยู่ที่หนูตัดสินใจก่อนตั้งแต่แรก เรื่องเหงานี่เป็นเรื่องปกติมาก เพราะเพื่อนก็มีแฟน คนรอบข้างก็มีแฟน แต่การอยู่กับตัวเองก็ไม่ได้เหงาอย่างเดียวจนไม่มีความสุขนะ ก็มีความสุขค่ะ บางทีช่วงนี้หนูอินกับการไปเต้นหรือดูซีรีส์ เรามีกิจกรรมเรื่อย ๆ ให้ตัวเอง ไม่ได้รู้สึกว่าเบื่อมาก แต่ก็อาจจะเหงาในบางที ผู้หญิงก็มีบ้างที่อาจจะอยากมีคนมาดูแลเทคแคร์ บางทีเห็นเพื่อนไปกับแฟนก็มีอารมณ์อยากมีบ้าง บางทีก็โทรฯ ไปหาเพื่อนว่า แกฉันอยากมีแฟน (หัวเราะ) ไม่มีคนมาจีบฉันเลย


มีความคิดที่อยากจะรีเทิร์นกับคนเก่าบ้างไหม? 
คือหนูว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่หนูต้องคิดคนเดียวไง มันเป็นเรื่องของคนสองคน ซึ่งถ้าอีกคนหนึ่งคิดแต่อีกคนไม่คิดมันก็ไม่ได้อยู่ดี หนูก็เลยปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้า ณ วันหนึ่งเราอยากให้เป็นแบบนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที ทุกวันนี้ว่างก็คุย แล้วแต่อารมณ์ กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรมาก หนูสบายใจกว่า


หรือว่าอยากจะคบคนนอกวงการดีกว่า? 
ก็เคยคิดนะ แต่ถ้าคนเราจะคบกัน ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกวงการ ถ้าใช่ก็คือใช่ ตอนนี้อายุ 25 เบญจเพสด้วยมั้ง เราก็อยู่ของเราไป แต่ไม่เดือดร้อน บางทีก็มีคนแนะนำว่ามีคนนี้อยากคุยด้วย หนูก็จะบอกว่า พักแป๊บนึงก่อน อยากอยู่สวย ๆ โสด ๆ ก่อน อยากมีเดี๋ยวบอกเอง คือหนูอาจจะมีกำแพงด้วยแหละ ถ้าเข้ามาแบบจู่โจมเลยก็จะไม่ ถ้าจะคุยกับหนูก็ต้องค่อย ๆ ทำให้หนูสบายใจก่อน

 

: ฐิสา วริฏฐิสา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • พบกับละครฟอร์มยักษ์เรื่อง "สายเลือดสองหัวใจ" ผลงานก่อนจากของผู้จัด "ต้อย-เศรษฐา" พร้อมลงจอทางช่อง 7HD
  • 'ฐิสา' กับมุมมองความรักที่โตขึ้น
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :