ข่าว > ข่าวดาราทั้งหมด > สัมภาษณ์ดารา

'เซฟฟานี่' เต็มที่ทุกบทบาท พัฒนาเพื่อตัวเองไม่คิดเทียบใคร

28 ก.ย. 2558 14:17 น. | เปิดอ่าน 1520 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

 

หลังจากนางเอกสาวดาวรุ่ง เซฟ - เซฟฟานี่ อาวะนิค กระโดดมารับบทสุดหินใน "เพลิงตะวัน" ก็เรียกว่าได้เห็นพัฒนาการทางด้านการแสดงของเธอที่ดีขึ้นเยอะมาก จนหลายคนออกปากชม วันนี้ "ดาวต่างมุม" เลยขอพาแฟน ๆ ไปนั่งพูดคุยกับเธอ ทั้งเรื่องมุมมองความคิดในวงการ พร้อมอัพเดทเรื่องของหัวใจที่แว่วว่าเธอมีหนุ่มนักเรียนนอกนามว่า "เคน" คอยดูแลใกล้ชิดแล้ว

ที่มา: ดาวต่างมุม เดลินิวส์ / ภาพ: @stephanyauernig (IG)


ถามถึงบทบาทใน "เพลิงตะวัน" เห็นว่าเล่นเป็น 2 บุคลิกทีเดียว ความยากของเรื่องนี้คืออะไร? 
ในเรื่องนี้เซฟรับบทเป็น "ตะวัน" และ "ปรางค์ทอง" คือเราเป็นคนเดียวกัน แต่ว่ามี 2 คาแรกเตอร์ เริ่มแรกเลยเราเป็น "ปรางค์ทอง" ผู้หญิงโหดที่ถูกฝึกมาเป็นนักฆ่า และไปแต่งงานกับพี่ วุธ - อัษฎาวุธ เพื่อเข้าไปแก้แค้นในครอบครัวเขา แต่เกิดเหตุมีคนตามฆ่าเรา เราโดนทำร้ายจนเสียความทรงจำ และได้พี่เอส - กันตพงศ์ เข้ามาช่วยเหลือ จากนั้นเราก็มาเหมือนเกิดใหม่ และได้ชื่อว่า "ตะวัน" โดยนิสัยปรางค์ทองคนเก่าหายไปหมด กลายเป็นคนใหม่ที่เรียบร้อยมาก พลิกจากบทปรางค์ทองแบบขาวเป็นดำเลย ซึ่งมันยากตรงที่กลางเรื่องที่ต้องผีเข้าผีออก เพราะมีความทรงจำบางส่วนของปรางค์ทองแว้บผ่านเข้ามา เราต้องเล่นให้ชัดตอนที่อยู่ดี ๆ เราเปลี่ยนเป็นอีกคน สายตาเราต้องเปลี่ยน อารมณ์ต้องเปลี่ยนไปมาภายใน 1 วินาที มันเล่นให้ชัดยากมาก ส่วนตัวเซฟว่าตะวันยากแค่ตรงเล่นดราม่า แต่ปรางค์ทองจะเล่นได้ยากกว่าเพราะว่าต้องคิดแผนตลอดเวลา หลอกทุกคนหมดเลย มันซับซ้อน คำพูดก็ต้องแรงกว่าตะวัน เล่นแรก ๆ ก็มีสับสนตัวละคร ใช้เวลานานหน่อยในการสวิตช์ค่ะ


ขึ้นแท่นเป็นนางเอกเต็มตัวละครช่วงไพร์มไทม์เรื่องแรก คาดหวังแค่ไหน? 
ก็หวังว่าทุกคนจะชื่นชมเรื่องนี้มาก ๆ เพราะเราตั้งใจมาก และเราก็รู้สึกกับตัวเองด้วยว่าได้วิชาและประสบการณ์มากขึ้น หลายคนพูดก็บอกว่าเราเล่นดีขึ้นเรื่อย ๆ มันก็เป็นกำลังใจให้เรา สำหรับการขึ้นเป็นนางเอกนำคนเดียวครั้งแรก มันก็กดดันนะคะ แต่ก็ทำเต็มที่


หากเป็นตัวเซฟฟานี่เอง จะเลือกเป็น "ตะวัน" หรือกลับไปเป็น "ปรางค์ทอง"? 
ถ้าเราเสียความทรงจำตรงนั้น แล้วเราจำอะไรไม่ได้เลย แต่เราแค่รู้ว่าคนนี้เป็นสามีเก่าเรา ก็คิดว่าคงไม่กล้ากลับไป เพราะถ้าจำไม่ได้มันก็คงไม่มีความผูกพันกันแล้ว แต่อย่างไทย (เอส) เขาเลี้ยงดูเรา เหมือนเกิดใหม่ รักเรา แล้วเรามีความรู้สึกตรงนั้น ดังนั้นเราคงไม่กลับไป เลือกการมีชีวิตใหม่ จะได้ไม่ต้องถูกตามฆ่าด้วย (ยิ้ม)

 

 

ถามถึงการเริ่มต้นเข้าวงการของเซฟฟานี่บ้าง? 
หนูได้รับตำแหน่งจากเวทีมิสทีน ไทยแลนด์ 2009 ตอนนั้นแค่ประกวดเล่น ๆ ไม่ได้หวังเข้าวงการ แค่ตอนเด็ก ๆ เราชอบดูรายการเดินแบบ มันเหมือนเรามีความฝันเล็ก ๆ แต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นนักแสดง และที่ตัดสินใจเข้าประกวดเพราะตอนนั้นเขาเก็บตัวกันที่ภูเก็ต เราอยากไปเที่ยวค่ะ (ยิ้ม) ซึ่งหลังจากได้ตำแหน่งก็มีถ่ายแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ จนวันนึงได้ลองไปแคสติ้งที่ช่อง 7 ก็รับเราเซ็นสัญญา จริง ๆ ไม่ได้คิดมาไกลขนาดนี้ ไม่เคยคาดฝันนะ เพราะเราเป็นคนไม่มั่นใจ ไม่กล้าแสดงออกด้วย เกลียดเวทีมาก แต่พอมันได้เริ่มทำเรื่อย ๆ ก็เริ่มกล้าขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ


หลังจากได้เป็นนักแสดงเต็มตัวรู้สึกยังไง? 
จริง ๆ ก็ดีใจนะคะ บางทีเรายังนั่งถามตัวเองเลยว่าเรามายืนจุดนี้ได้ยังไง ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 15 พอ 18 ปี ก็เริ่มเป็นนักแสดงจริง ๆ ทุกวันนี้พอละครออนแอร์ก็ยังตื่นเต้นทุกครั้ง ซึ่งหลังจากที่เข้าวงการแล้วชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะเลย เพราะก่อนหน้านั้นเราจะโฟกัสแต่เรื่องเรียนอย่างเดียว ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นธรรมดา แต่พอหลังจากเราเป็นนักแสดง เวลาก็น้อยลงและยังเรียนด้วย ชีวิตมันก็หนักขึ้นนะ เพราะเราไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ โดยเฉพาะตอนนี้หนูจะขึ้นปี 4 แล้วที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ยากขึ้นเรื่อย ๆ ลงเรียนน้อยลงกว่าเพื่อน และเพื่อนบางคนก็ไปเรียนต่างประเทศ แต่เราไม่ได้ไปเรียนต่ออย่างที่คิดไว้ เพราะเลือกที่จะเรียนที่นี่เพื่อทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยค่ะ


เสียดายมั้ยที่ไม่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างที่ตั้งใจ? 
จริง ๆ เสียดาย เพราะเราอยากไปเรียนมาก เราอยากเรียนคณะชีววิทยา และที่เมืองนอกมีให้เลือกเยอะกว่า แต่พอคิดไปคิดมา เราไม่อยากให้คุณพ่อทำงานหนักเกินไป เพราะค่าใช้จ่ายที่นู่นค่อนข้างสูง เลยคิดว่าเราจะสบายใจมากกว่าถ้าเราได้ทำงานหาเงินเอง แล้วก็เรียนที่นี่ ทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่าตัวคิดผิดอะไรเลยนะคะ สบายใจมากที่ไม่ต้องไปขอเงินคุณพ่อ คือเราไม่เคยคิดไม่เอาการเรียนนะ แต่ประสบการณ์แบบนี้มันหายาก โอกาสไม่ได้มากันง่าย ๆ ไหน ๆ เรามาครึ่งทางแล้ว ก็ไปให้สุดเลยดีกว่าค่ะ

 

 

เข้าวงการมาได้ 3 ปี ได้เรียนรู้อะไรจากวงการบันเทิงบ้าง? 
เรียนรู้เยอะเลย ได้เข้าสังคมมากขึ้น ได้เรียนรู้เรื่องต้องบริหารเวลาให้บาลานซ์กันให้ได้ทั้งงานและเรียน บางทีละครถ่ายไปออนแอร์ไปมันก็หนัก เราต้องเคลียร์สมองเราให้ได้ เหมือนเป็นการฝึกสมาธิเหมือนกันค่ะ ส่วนเรื่องการระวังตัวในการใช้ชีวิตในวงการ จริง ๆ เราก็เป็นตัวของตัวเองมาตลอด ไม่คิดที่จะเปลี่ยนอะไรและเราก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมด้วย


มองตัวเองในวงการไว้ที่ตำแหน่งไหน? 
หนูมองตัวเองเป็นนักแสดงคนนึงของช่อง 7 ค่ะ ส่วนคำว่า นางเอก นางรอง และนางร้ายหนูไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ใครจะเรียกว่านางเอก แต่หนูชอบใช้คำว่านักแสดงมากกว่าค่ะ เพราะทุกตัวละครมีความสำคัญเหมือนกัน เพียงแต่บางคนอาจได้เล่นบทที่เยอะกว่าหน่อย หนูเข้าวงการไม่ได้หวังที่จะเป็นนางเอกค่ะ จริงอยู่ที่นางเอกอาจมีบทเพิ่มมากขึ้น ท้าทายมากขึ้น แต่อย่างที่บอกว่าเมื่อมีโอกาสเข้ามาแล้ว บทอะไรก็ทำให้เต็มที่


"นักแสดง" ในความคิดเราต้องมีคุณสมบัติอะไร?
อย่างแรกเลยต้องอดทนค่ะ ต้องพยายามพัฒนาตัวเองในทุกเรื่องเลยทั้งความสามารถทางการแสดง ที่ต้องคอยเก็บประสบการณ์เรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดจบ มันมีอะไรใหม่ ๆ มาให้เราเล่นและคิดตลอด อีกอย่างต้องเป็นคนขยัน ต้องเรียนรู้ได้เอง ไม่ใช่รอให้คนมานั่งสอนอย่างเดียว 3 ปีในวงการหนูถูกทดสอบถามอดทนหลายอย่างเลย (ยิ้ม) ทั้งความเครียด ช่วงแรก ๆ หนูเชื่อว่าหลายคนก็ไม่ได้เก่งเลย ก็หนูโดนด่าเรื่องการแสดงบ้าง แต่เราต้องอดทน เข้มแข็งและต้องเชื่อว่ายังไงต้องดีขึ้นค่ะ

 

 

เสียงวิจารณ์จากคนดูเคยทำให้เราหมดกำลังใจบ้างมั้ย? 
ก็มีอยู่แล้วค่ะ ช่วงแรก ๆ เรายังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ก็มีบอกว่าเราเล่นแข็ง เราก็รู้ตัว เพราะว่าเราดูตัวเองก็เห็นว่ายังเล่นได้ไม่ดี ก็ไม่ได้คิดมากค่ะ เพราะเรายอมรับว่ายังเล่นไม่ถึง สำหรับคำวิจารณ์หนูคิดว่ามันเป็นเหมือนสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เราฮึดสู้ต่อไป ช่วยให้เราพัฒนาขึ้นมากกว่า ส่วนเรื่องการแข่งขันกันในวงการ หนูเป็นคนไม่แข่งขันกับใครตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว เหมือนการเล่นกีฬา เราเล่นให้ชนะเพื่อตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับใคร เราจะทำให้เต็มที่ที่สุด การแสดงก็เช่นกัน เราไม่เคยแข่งกับใคร เราอยากให้ผลงานเราออกมาดี อยากให้ทุกคนชื่นชมเรา แต่ไม่ได้อยากให้ใครเอาเราไปเปรียบเทียบว่าคนนี้เก่งกว่าใคร เลยแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่กับคนอื่นค่ะ


ถามถึงเรื่องหัวใจบ้างกับ "เคน" หนุ่มนอกวงการ ณ วันนี้เป็นยังไง? 
คุยมาสักพักแล้วค่ะ ประมาณ 4 ปี แต่เราไม่ใด้ซีเรียสกับความสัมพันธ์กันเกินไป เพราะต่างคนต่างไม่ว่าง เราทำงาน เขาก็เรียน เราคุยกันไปแบบเรื่อย ๆ ไม่ได้ต้องจริงจังกับเรื่องที่ต้องคิดถึงอนาคต เหมือนเป็นที่ปรึกษากันค่ะ กับเคนเราอายุเท่ากันเลย เขาเรียนอยู่ที่อังกฤษค่ะ


สิ่งประทับใจที่ทำให้เราเลือกดูใจกับ "เคน" คืออะไร? 
เขาเป็นคนคอยช่วยเหลือเรา บางทีเราก็เป็นคนอ่อนแอเหมือนกันนะ (ยิ้ม) ไม่ได้เข้มแข็งอยู่ตลอด มีบางทีที่เราอยากจะยอมแพ้ เขาก็คอยบิลต์เรา คอยให้กำลังใจ หนูว่ามันก็มีส่วนช่วยให้เรามาถึงจุดนี้ได้เหมือนกัน คือเราต้องสู้ตลอด บางทีเขาก็เป็นที่ปรึกษาเราได้ เวลาเราเครียดมา เรารับบทหนัก ๆ มันก็ติดกลับบ้านมา เขาก็ช่วยให้เราผ่อนคลาย สิ่งที่หนูประทับใจที่สุดในตัวเขาคือการเชื่อใจกันและกัน เพราะมันไม่ใช่สิ่งง่ายเลยกับการที่เราอยู่คนละที่ แล้วเราไว้ใจกันได้รึเปล่า แต่อันนี้เราต่างไว้ใจกันทั้งคู่ ซึ่งที่หนูไว้ใจเขา ไม่กลัวเขามองสาวอื่น ก็เพราะหนูรู้จักเพื่อน ๆ เขา ถ้ามีอะไรเพื่อน ๆ ก็ต้องบอก (หัวเราะ) แต่เขาเป็นคนไม่เที่ยวอะไรแบบนั้น ซึ่งก็เหมือนเราที่ไม่ได้เป็นชอบเที่ยว เลยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ซึ่งความไว้ใจนี่แหละที่ทำให้เราคุยกันได้นาน 4 ปี ทั้งที่ระยะทางไกลกัน คือความไว้ใจกันสำคัญมาก ๆ ค่ะ


ยังต้องปรับตัวให้เข้ากันอยู่มั้ย? 
มันก็ยากนะคะ เพราะเขาอยู่ต่างประเทศและเราไม่ได้มีเวลาเจอกันขนาดนั้น แต่เหมือนเราคุยมาหลายปีแล้วเลยชิน จริง ๆ มันก็โอเคนะ เพราะถ้าเขาอยู่ที่เมืองไทยก็ไม่ค่อยเจออยู่ดี (หัวเราะ) เขามีกลับมาไทยบ้างในช่วงที่ปิดเทอม คือมหาวิทยาลัยอินเตอร์มันปิดเทอมพร้อมกันพอดี แต่หนูปิดเทอมก็เหมือนไม่ปิดเพราะมีงานตลอด แต่ก็ยังดี เวลาว่างเราก็มีไปกินข้าวกันบ้าง ดูหนัง แค่นี้ไม่มีอะไรมาก ช่วงแรก ๆ เขาก็มีบ่นน้อยใจนิดนึง ตอนที่เราถ่ายละครไปออนแอร์ไป บางทีเรียนไปด้วย ไม่มีเวลาเลย แต่ไปเรื่อย ๆ เขาก็ชินกับการที่เราต้องทำงานไปเอง เขาก็บอกนะว่าการที่ได้นั่งดื่มกาแฟด้วยกันแค่ชั่วโมงเดียวก็แฮปปี้แล้ว เห็นหน้าแค่ชั่วโมงเดียวก็โอเค เธอก็ทำงานของเธอไป เวลาที่เราอยู่ด้วยกันเลยยิ่งมีค่า เราก็มีถามกันตลอดว่าสบายดีมั้ย แค่นี้แฮปปี้ แต่คู่เราไม่โรแมนติก จะฮา ๆ มากกว่า เป็นเพื่อนต๊อง ๆ ทั้งคู่ค่ะ

 

 

เราเข้าวงการแบบนี้ เขามีหวงบ้างมั้ย เพราะต้องเจอ หนุ่ม ๆ เยอะ? 
อันนี้มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่เขาก็เข้าใจมันเป็นการทำงาน เขาแยกแยะออกว่างานก็คืองาน ซึ่งเวลาเล่นบทเลิฟซีน กุ๊กกิ๊ก เราก็ไม่ต้องอธิบายกับเขาก่อน เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องมี ไม่ได้ซีเรียสเลย เขาก็ดีตรงนี้แหละค่ะ เพราะเป็นบางคนก็คงไม่ชอบ แต่มันก็ต้องเข้าใจเราว่ามันเป็นการทำงาน ซึ่งเขาจะให้กำลังใจเราตลอดมากกว่า อย่างตอนที่มีข่าวกับพี่วี-วีรภาพ หรือ พี่ธันวา เขาไม่รู้ข่าวนะ เราก็เล่าให้เขาฟัง เขารู้ว่ามันไม่จริง มันเชื่อทุกอย่างในข่าวไม่ได้ เขาฟังที่เราเล่าก็ขำ ไม่ซีเรียส เพราะเขาเชื่อใจ คนนี้หนูเคยแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักแล้ว ท่านก็โอเคนะ บอกน่ารักดีค่ะ


คาดหวังอนาคตแค่ไหน? 
ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะตัวเซฟไม่รู้ว่าจะทำงานตรงนี้นานแค่ไหน ซึ่งงานเราต้องมาก่อนอยู่แล้ว เพราะเราเป็นคนที่ไม่อยากพึ่งใคร เลยไม่ได้คิดถึงอนาคต ถ้าวันนึงต้องจากกัน ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันได้ เพราะเชื่อว่าวันนึงหากเราต้องจากกัน มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ร้ายแรงหรือทะเลาะกันแน่นอน อาจแค่มันนานไปแล้ว คือตลอดเวลาที่คบกันก็มีทะเลาะกันนิดหน่อย แต่ไม่เคยมีอะไรโหดร้าย แค่เข้าใจผิดเล็กน้อย อย่างเวลางอนกันหนูเป็นคนไม่ง้อใคร (ยิ้ม) แต่เขาก็เป็นคนเอาใจเก่งอยู่นะคะ


อยากให้ฝากถึงแฟน ๆ หน่อย? 
ละคร "เพลิงตะวัน" ก็ทุ่มเทเต็มที่ อยากให้แฟน ๆ ติดตาม เรื่องนี้ครบทุกรส จะได้เห็นฝีมือการแสดงของนักแสดงคนอื่นด้วย เชื่อว่าทุกคนต้องชอบค่ะ ต้องติดตามทุกตอน ไม่อย่างนั้นจะงงได้ค่ะ บังคับให้ดูทุกตอนค่ะ


แล้วบังคับหนุ่มคนที่อยู่ต่างประเทศดูหรือยัง? 
คนที่อยู่อังกฤษคนนั้นเขาไม่ดูละครอยู่แล้วค่ะ (ยิ้ม)

 

: แคท เซฟฟานี่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • "เวียร์-เซฟฟานี่" ออกสเต็ปเซิ้ง ชวนชาวบ้านเต้นเพลง "เลิฟยู โคกอีเกิ้ง"
  • "เวียร์ ศุกลวัฒน์" ชวนดู "เลิฟยู โคกอีเกิ้ง" หนังที่รวมประเพณีชาวอีสาน ที่คุณจะหลงรัก ว่าซั่น!
  • ครั้งแรกกับการเล่นภาพยนตร์ และครั้งแรกกับบทคอมเมดี้ ของนางเอกลูกครึ่ง "เซฟ เซฟฟานี่ อาวะนิค"
  • 'เซฟฟานี่' รักหวานทางไกล ไร้ปัญหาแค่ไว้ใจกัน
  • "เซฟฟานี่" ขอแข่งกับตัวเอง ทำทุกโอกาสให้ดีที่สุด
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :