มีผลงานให้เห็นกันอย่างต่อเนื่องทีเดียว สำหรับ นางเอกสาว โม - มนชนก ฉายแสงเพียงเพ็ญ ซึ่งนอกจากซิทคอมเรื่อง "มือปราบกุ๊กกุ๊กกู๋" ที่กำลังออกอากาศทางช่องวัน เจ้าตัวก็ยังมีผลงานละครจ่อคิวอีก 2 เรื่องติด "ดาวต่างมุม" วันนี้เลยต้องขอตามเธอไปถึงกองถ่ายที่ "แอ็กซ์ สตูดิโอ" เพื่อพูดคุยถึงเรื่องผลงาน และข่าวคราวต่าง ๆ ที่อยากให้แฟน ๆ ทุกคนไปพิสูจน์พร้อม ๆ กันว่า ที่เขาบอกว่าเธอเป็นสาวยิ้มยาก โลกส่วนตัวสูง และไม่ค่อยจะปริปากเรื่องความรักซักเท่าไหร่นั้น จริงหรือเปล่า
ที่มา: ดาวต่างมุม เดลินิวส์ / ภาพ: @momonchanok (IG)
ก่อนอื่นถามถึงซิทคอม "มือปราบกุ๊กกุ๊กกู๋" ที่กำลังออกอากาศ?
สำหรับ มือปราบกุ๊กกุ๊กกู๋ ถือเป็นซิทคอมเรื่องแรกเลยที่โมเล่นเต็มตัว ปกติเราจะเล่นแค่รับเชิญ พอได้มาเล่นจริง ๆ ก็สนุกค่ะ โชคดีที่ได้ทำงานกับคนที่คุ้นเคย อย่าง พี่อัคร - อัครัฐ หรือ ตูมตาม-ยุทธนา เราก็สนิทกันอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่าตอนแรก ๆ เราแอบกังวล เพราะเราไม่ใช่คนตลก ไม่ใช่คนที่เข้าใจมุกตามคนอื่นได้ แต่ก็โชคดีอีกที่คาแรกเตอร์โมในเรื่องไม่ใช่คนตลก แต่ตัวละครรอบข้างจะชวนให้ขำมากกว่า สำหรับฟีดแบ็กหลังจากออกอากาศไปแล้ว คนดูก็ชอบนะคะ เพราะในเรื่องก็จะมีสอนเรื่องศีลธรรม การช่วยเหลือคนอื่น และแทรกข้อคิดให้คนที่ดูและเด็ก ๆ ได้ซึมซับด้วย อีกอย่างโมว่าคนไทยชอบเรื่องราวแนวผี ๆ อยู่แล้วด้วยค่ะ ก็จะชอบกัน
นอกจากซิทคอมเรื่องนี้ โมมีผลงานอะไรอีกบ้าง?
มีละครตะวันตัดบูรพาค่ะ โมรับบทเป็น "โจ" เราจะเป็นแนวสายสืบให้กับตำรวจ เลยไม่ต้องมีท่าทางทะมัดทะแมงมาก ตอนนี้เร่งถ่ายทำกันอยู่ ก็ใกล้จะออกอากาศแล้ว ประมาณ ก.ค.นี้ น่าจะได้ชมกัน จริง ๆ ตอนเด็ก ๆ โมก็ได้ดูเวอร์ชั่นเก่าบ้าง แต่จำไม่ได้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร คนจะชอบคิดว่าเล่นละครรีเมคแล้วกดดัน แต่ด้วยยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ก็อย่าไปเปรียบเทียบกันดีกว่า เพราะบทก็เปลี่ยน ตัวละครก็เปลี่ยน กล้องที่ถ่ายทำยังใช้คนละแบบเลย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ "ซอรี่ ไอ เลิฟ ยู" เรื่องนี้จะดราม่ามาก ทราบว่าเรื่องนี้นานมากแล้ว10 กว่าปีได้มั้งคะ แต่เราก็ไม่อยากดูย้อนหลัง เพราะกลัวว่าคนจะเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว อีกอย่างบทต่าง ๆ ก็ปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยด้วย สำหรับเรื่องนี้ก็น่าจะได้ชมกันปลายปี สองเรื่องก็คนละแนวกันเลยค่ะ ส่วนตัวโมชอบทำงานหลากหลาย เลยรู้สึกดีที่เราไม่ต้องทำอะไรซ้ำซาก
เห็นว่าตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัวด้วย?
โมทำร้านเสื้อพีบีเอ็ม สโตร์ (PBM_STORE) กำลังจะมีคอลเลกชั่น3แล้ว คือถามว่าเรามีความถนัดด้านแฟชั่นไหม เราเองก็ไม่ได้เรียนด้านนี้มาโดยตรง แต่เราเริ่มจากการทำเสื้อผ้าแบบที่ตัวเองชอบ อยากใส่แบบนี้ เลยลองทำดู ตอนนี้ก็ไม่ได้มีแค่ร้านของเราที่ขายออนไลน์ เรายังเอาไปฝากขายที่ร้านเอสโอเอส (SOS) ที่สยาม รวมกับไทยดีไซเนอร์แบรนด์อื่น ๆ ด้วยค่ะ เสื้อผ้าจะเป็นแนวผู้หญิงหวานหน่อย คนอาจจะไม่ค่อยเห็นโมในมุมนี้เท่าไหร่ แต่บางทีเราก็อยากใส่บ้าง นอกจากนั้นก็จะมีสูท สไตล์ที่โมชอบใส่ ก็จะช่วย ๆ กันออกแบบ เพราะมีหุ้นส่วนหลายคน ร้านนี้ก็ถือเป็นธุรกิจชิ้นแรกของโม แต่เราไม่ได้หวังว่าเราจะได้เงินจากสิ่งที่เราทำมากมาย ก็เรียนรู้กันไปค่ะ
ตอนนี้เรียนจบแล้วด้วย เลยลุยงานเต็มที่เลย?
ใช่ค่ะ แต่จริง ๆ โมเรียนก็เหมือนไม่ได้เรียนนะคะ โมไม่ได้รู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องหนักหนา คนอื่นอาจจะรู้สึกว่าการเรียนไปทำงานไปมันหนักมาก แต่โมขาดเรียนน้อยครั้งมาก แล้วเราก็สามารถถ่ายละครไปได้ด้วย เราอาจจะโชคดีที่จัดสรรเวลาดี แล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญด้วยที่เวลาสอบก็จะไม่มีถ่ายละครพอดี ปีหน้าก็ว่าเรียนต่อปริญญาโท คือจริง ๆ เรายังไม่รู้ว่าเราชอบอะไรจริงจัง ลึก ๆ แล้วเราอยากเรียนเขียนบท อยากเรียนอักษร แต่ก็รู้สึกว่าเราจบศิลปกรรมฯมา ก็เฉพาะทางมากแล้ว เราเลยควรเรียนอะไรที่เข้าใจคนอื่นบ้าง เข้าถึงคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นเราก็จะอยู่ในสังคมเดิม ๆ ที่เราอยู่ได้แค่เนี้ย แล้วเราก็มองว่าคนอื่นคิดอะไรทำไมแปลกจัง จริง ๆ เขาไม่ได้แปลกหรอก เขาก็มีโลกของเขา เราก็มีโลกของเรา
สุดท้ายอะไรคือสิ่งที่ภูมิใจที่สุดของโมตอนนี้?
ความภูมิใจของโม คือการที่แม่ภูมิใจในตัวโม ไม่เกี่ยวกับการที่เรามาทำงานในวงการหรือเป็นดารานะคะ คุณแม่ไม่ได้มองว่าตรงนี้คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่เลย คือเราจะทำอาชีพอะไรก็ได้ แค่เราดูแลครอบครัว ดูแลน้อง ดูแลที่บ้านให้ดี เขาก็ภูมิใจมากแล้ว
มีคนบอกว่าโมเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง จริงไหม?
ใช่ค่ะ โมยอมรับเลยว่าเรามีโลกส่วนตัวสูง แต่การที่มีฟีดแบ็กต่าง ๆ ออกมาอย่างนี้ ทำให้เราต้องปรับตัวเยอะขึ้น กับการเป็นคนของประชาชน เพราะการที่ทำให้คนเข้าถึงยากก็ดูไม่น่ารักเท่าไหร่ ตอนแรกเราก็คิดนะคะ ว่าเราไม่ได้ทำร้ายหรือคิดร้ายกับใคร ทำไมคนจะต้องอะไรมากมายกับเรา แต่ตอนนี้เราคงต้องปรับตัว ส่วนแฟนคลับโมเขาก็จะเข้าใจมาก ๆ เข้าใจที่โมเป็นแบบนี้ เรื่อย ๆ ง่าย ๆ ไม่ยุ่งกับใคร อยู่ในโลกของเรา
ล่าสุดมีเรื่องเข้าใจผิดกับ อ๊อฟ - ปองศักดิ์ ได้เคลียร์กันหรือยัง?
โมถือคติเลยว่าโมไม่เคยคิดร้ายกับใคร ส่วนอะไรที่มันผ่านเข้ามาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ตอนแรกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเรา เราก็...อ้าว โมเหรอ โมไปทำอะไร ตอนไหน แต่พอรู้ว่าเป็นเรา เราก็คิดว่าตอนนั้นเราอาจจะไม่รู้ตัว เราอาจจะไม่เห็นเพราะว่าคนก็เยอะด้วย เลยไม่ได้ยกมือสวัสดี โมก็คุยกับผู้ใหญ่ว่าเราก็ควรไปขอโทษเขาด้วยความที่เราเป็นเด็ก เคลียร์กันไปเลยดีกว่า เพราะเราก็ไม่เคยมีกรณีก่อนหน้านี้ ก็ให้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สอนเรา
ข่าวนี้ทำให้เราเครียดไหม?
โมไม่ได้เครียดขนาดนั้น โมเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับความทุกข์นาน เราก็มองบวกไปว่าเป็นอีกเรื่องที่สอนเราไง ส่วนตัวพื้นฐานเราไม่ใช่เป็นคนที่คิดไม่ดีกับคนอื่นอยู่แล้ว ก็พยายามยิ้มให้มากขึ้น แล้วก็จะพยายามใส่คอนแทคเลนส์ เพราะปกติเราไม่ค่อยใส่คอนแทคเลนส์ แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่มนุษย์ทุกคนจะเข้าใจ
แล้วเรื่องความรักกับ บี้ เดอะสตาร์ ล่ะ เป็นไงบ้าง?
ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือหวือหวาเลยค่ะ เราก็อยู่เฉย ๆง่าย ๆ ทุกวันนี้ก็สนิทกันเหมือนเดิมเลย จริง ๆ โมเป็นคนไม่ค่อยพูดเรื่องความรัก ที่ไม่ค่อยพูดเพราะว่าเราอยากรอให้มั่นใจก่อน เพราะโดยส่วนตัวโมไม่อยากพูดว่ารัก พอเลิกกันแล้วก็ต้องมาพูดอีกค่ะ เราเลยไม่อยากให้คนโฟกัสตรงนี้
คนมองว่าโมกับบี้เป็นคู่รักปากแข็ง?
โมว่าเราไม่มีอะไรให้พูดมากกว่า แล้วเราก็ไม่ใช่คู่รักอะไรด้วย ก็สนิทกันเหมือนเดิม พี่เขาเป็นคนที่สอนอะไรในชีวิตโมเยอะมาก เขาเป็นคนมีหลักการในการดำเนินชีวิตที่ดีทีเดียว เขามีมุมมองในชีวิตที่โอเค อาจจะเพราะว่าเขาโตกว่าเยอะด้วย เราเลยได้เรียนรู้อะไรมากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน
คุณพ่อคุณแม่โอเคกับบี้ไหม?
คุณแม่ไม่เคยโอเค หรือไม่โอเคกับใครเลยนะคะ แม่ไม่ค่อยยุ่งค่ะ เขาให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าอะไรเป็นอย่างไร ส่วนคุณพ่อจะหวงนิดหน่อย จะดูอยู่ห่าง ๆ มากกว่า แต่ก็ไม่ได้หยุด ว่าห้ามคบ ไม่ได้ขนาดนั้น
อย่างล่าสุดไปอเมริกา ได้เจอ บี้ ไหม?
โมไปเที่ยวหลายเมืองมากเลย ไปประมาณ 15 วันค่ะ ได้เจอทั้งพี่บี้ และ พี่บอย - ถกลเกียรติ มีโอกาสไปดูละครเวที "วอเตอร์ฟอลล์ เดอะ มิวสิคัล" ที่ลอสแอนเจลิสด้วย โมมองว่าเป็นสิ่งที่เราควรทำ เพราะละครเวทีที่เป็นเรื่องราวของคนไทย เป็นสิ่งที่คนไทยทำ ในเรื่องมีจุดให้เราได้คิดเยอะมากแล้ว โมไปดูมา 2 รอบ ก็มีฝรั่งไปดูเยอะมาก คนก็เต็มทั้งสองรอบเลย แต่เนื้อเรื่องจะมีอะไรบางอย่างที่ปรับเปลี่ยนจากเวอร์ชั่นไทยไปบ้าง เพื่อจูนให้ตรงกับสิ่งที่ฝรั่งจะเข้าใจ ส่วนฝีมือการแสดงพี่บี้ เขาเป็นคนเล่นดีละครเวทีหรือละครทีวีดีอยู่แล้ว ส่วนเรื่องภาษาไม่ค่อยเป็นอุปสรรค เพราะพี่เขาก็เก่งอยู่แล้ว แต่โมไม่แน่ใจว่าจะแสดงอีกนานเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยได้คุยเรื่องงานกันเลย เป็นเรื่องเครียด มีเวลาก็คุยเรื่องไร้สาระเฮฮาดีกว่า กับพี่บี้ไปที่โน่น โมก็เจอบ้าง แต่เจอไม่บ่อย เพราะว่าโมก็ไปเที่ยวของโมมากกว่า
ทุกวันนี้ยังมีคนเข้ามาจีบอีกไหม?
โมไม่มีคนมาจีบนานแล้ว เพราะว่าเราด้วยหน้าที่การงานเราไม่ค่อยเจอใคร ในกองถ่ายก็มีกันอยู่แค่นี้ ไม่ได้เจอสังคมใหม่ ๆ อ๋อ...แต่ล่าสุดไปเมืองนอก มีฝรั่งมาจีบนะคะขำมาก เขามาจีบเราที่ชายหาด แต่โมก็บอกว่าขอโทษนะคะพอดีโมแต่งงานแล้ว เราก็เล่นมุกนี้เลย เพราะขี้เกียจคุยเยอะ เขาก็บอกว่าคุณดูเด็กมาก ไม่น่าที่จะแต่งงานแล้ว เราก็บอกว่าจริง ๆ เราอายุ 28 ปีแล้ว แต่อาจจะดูเด็ก เพราะเป็นคนเอเชีย (หัวเราะ)
มุมมองความรักของโม ทุกวันนี้เป็นยังไงบ้าง?
ตอนเด็ก ๆ อายุ 17-18 ปีเราเคยวางแผนชีวิตเลยนะ ว่าจะต้องแต่งงานตอนอายุ 25 ปี ผู้ชายที่เราชอบสเปกแบบนี้ ๆ ไม่อยากมีลูกช้า แต่พอมาถึงตอนนี้ ปีหน้าโมจะอายุ 25 ปี แล้วนะ ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบที่เราเคยคิดเลย ทุกวันนี้เราอยากเจอคนที่คุยกันรู้เรื่อง ที่ไม่ต้องหล่อ หรือรวย หรือตี๋ ขาว แค่คุยกันรู้เรื่องก็พอ แล้วพอมาถึงตอนนี้ก็ไม่อยากมีลูกแล้ว เพราะขนาดเรายังขนาดนี้เลย แล้วลูกเราจะเป็นขนาดไหน โมรู้สึกว่าโมสอนใครไม่ได้ เพราะสิ่งที่แม่สอนเราบางทีเรายังไม่ฟังเลย แล้วกว่าที่เราจะคิดได้ด้วยตัวเองทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเราโดนสอนมานะ แต่เราคิดได้เอง แล้วถึงวันนั้นถ้ามีลูก ลูกเราจะคิดได้หรือเปล่าไม่รู้
ดูเป็นคนเฉยชาเรื่องความรักเหมือนกันนะ?
โมคงใช้ชีวิตแบบนี้มานานจนไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรแล้ว โมยอมรับว่าบางทีมันก็ทำให้โมเป็นคนเฉยชานะ เพราะแม่เคยบอกโมว่าคนเราต้องมีความรัก เพราะจะมีความรู้สึกแฮปปี้ กระชุ่มกระชวย แต่โมไม่มีความรู้สึกนี้นานแล้ว ป๊อปปี้เลิฟนานมากแล้ว บางทีก็กระทบกับการเล่นละครเหมือนกันนะคะ ว่าทำไมเราไม่รู้สึกรักคน ๆ นี้เพราะว่าอะไร ก็ต้องดึงเอาความรู้สึกอื่น ๆ เข้ามาช่วยบ้าง
โมมีคติที่ใช้ในการดำเนินชีวิตไหม?
จริง ๆ ไม่มีตายตัวนะคะ แต่โมคิดตลอดว่าทุกวันนี้แค่เราทำหน้าที่ของเราให้ดี และไม่เดือดร้อนคนอื่นก็พอแล้วค่ะ