ข่าว > ข่าวหนังทั้งหมด > ข่าวหนัง

ผกก. "โหว เสี่ยว เซี่ยน" เผยจุดเริ่มต้นของภ. The Assassin คือการก่อกบฏในราชวงศ์ถัง

25 ส.ค. 2558 10:13 น. | เปิดอ่าน 1383 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

 

คุณวางช่วงเวลาไว้ว่าอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 9 ของจีน ช่วงปลายของราชวงศ์ถัง (ปี 618-907) ช่วงนั้นมีเหตุการณ์การก่อกบฎขึ้น ซึ่งสงสัยว่าทำไมถึงเลือกช่วงนั้นมาเป็นเนื้อเรื่อง?

ผมรู้และสนใจในการก่อกบฏในราชวงศ์ถังตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมและอุดมศึกษา ผมมีความใฝ่ฝันมานาน ผมอยากจะทำภาพยนตร์เกี่ยวกับพวกเขาและภาพยนตร์เรื่อง The Assassin นี้ก็มีแรงบันดาลใจมาจากพวกเขาด้วย ซึ่งถ่ายทอดผ่านนี้ ยินเหนียง ในนวนิยายได้ บรรยายรายละเอียดต่างๆในทุกๆวันอย่างครบถ้วน คุณอาจจะบอกว่าเหมือนจริงแล้วก็ได้แต่ว่าผม ต้องการมากกว่านั้นหากเป็นภาพยนตร์ ผมใช้เวลาในการอ่านประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นอย่างละ เอียด และเริ่มค้นคว้าด้วยตัวเอง อาทิ อาหารที่คนยุคนั้นกิน เครื่องแต่งกายในสมัยนั้น ผมใส่ใจในทุกรายละเอียด อย่างเช่น วิธีการอาบน้ำจะแตกต่างกันตามฐานันดรว่าจะเป็นพ่อค้าที่มั่งคั่ง ขุนนางยศสูง หรือว่าชาวนา นอกจากนี้ยังมีบริบทของการเมืองสอดแทรกด้วย มันเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่ศาลของราชวงศ์ถังถูกแทรกแซงโดยผู้ว่าการที่คอยท้าทายอำนาจของราชวงศ์ถัง บางมลฑลถูกบังคับให้แยกตัวออกจากราชวงศ์ ความขัดแย้งนี้บานปลาย จนกระทั่งมีการก่อกบฏ ตามมลฑลต่างๆ ซึ่งราชวงศ์ก็ก่อตั้งกองทหารรักษาการณ์เพื่อแก้ปัญหาซึ่งเรื่องนี้จะเกิดช่วงปลายศตวรรตที่ 9 ซึ่งราชวงศ์ถังก็ล่มสลายในปี 907 ผมหวังว่าผมจะสามารถถ่ายทอดช่วงยุคสมัยนั้นให้ออกมาได้อย่างสมจริง ผมเลยสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์แบบไม่บิดเบือน


ส่วนที่อยู่ในภาพยนตร์เกี่ยวกับ วิหค ที่จะร้องเพลงและเต้นรำจนกว่าจะมีกระจกมาวางไว้ใกล้ๆ กรง คุณได้ใช้เรื่องนี้จากบันทึกราชวงศ์ถังด้วยไหม?

ใช่ มันเป็นเรื่องที่รู้จักกันดีในจีน คุณจะเจอมันในภาพยนตร์ด้วย แต่คำว่ากระจกและวิหคนั้นจะ ถูกตีความให้เป็นสัญลักษณ์แทน

 

 


The Assassin เป็นภาพยนตร์กำลังภายใน ที่มีฉากการใช้วิทยายุทธ์ต่อสู้ ซึ่งภาพยนตร์ประภทนี้มีมานานแล้ว แต่นี่กลับเป็นเรื่องแรกของคุณที่สร้างแนวนี้?

มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานของภาพยนตร์กำลังภายใน ตอนที่ผมยังเด็กในไต้หวันประมาณปี 1950 โรงเรียนของผมมีวรรณกรรมกำลังภายในเยอะมาก และผมก็ชอบอ่านมาก ผมอ่านมันทุก เรื่องเลย ผมเคยเห็นภาพยนตร์กำลังภายในที่เป็นงานเขียนของ จูลส์เวิร์น และใช้มันเป็น ภาพยนตร์กำลังภายในจากฮ่องกง ซึ่งทุกคนเข้าใจว่ามันคือ กังฟู และภาพยนตร์ที่ต่อสู้ด้วยดาบ ผมศึกษาภาพยนตร์เหล่านั้นตั้งแต่เด็กๆ และผมคลั่งมันมากเลย ผมคิดว่าซักวันผมจะสร้างหนังกำลังภายในเองซักเรื่องให้ได้ แต่ถ้าจะให้เป็นไปตามงานเขียนของจูลส์เวิร์น มันคงไม่ใช่แบบของผม  แบบที่บินได้ ต่อสู้กลางอากาศ ต่อสู้บนหลังคา ผมคงไม่ทำแบบนั้น ผมจะให้ต่อสู้บนพื้น ซึ่งฉากต่อสู้ในภาพยนตร์เรื่อง The Assassin จะเป็นแบบดั้งเดิมจริงๆ ต่อสู้แบบจริงๆ ซึ่งผมค่อนข้างใส่ใจและห่วงในนักแสดงของผม ผมจะป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ว่าจะใช้ดาบไม้บ้าง แต่ว่าบางฉากมันก็ดุเดือดจริงๆ ซู ฉี นักแสดงนำ ก็มีแต่รอยช้ำหลังจาก เข้าฉาก และสิ่งที่ท้าทายมาก สำหรับผมคือการมีนักแสดงญี่ปุ่นอย่าง คุโรซาว่า และคนอื่นๆ ที่มีศิลปะการต่อสู้ตามแบบของเขา ซึ่งเป็นแบบซามูไร ไม่ใช่กังฟู


ทำไมภาพยนตร์เรื่อง The Assassin ถึงเป็นภาพขาวดำในช่วงต้น?

เพราะเป็นบทที่ผมสร้างมาจากสัญชาตญานของผม ผมต้องการวิธีการแบบดั้งเดิมที่สร้าง ภาพยนตร์ การสร้างภาพขาวดำ มันเป็นการสื่อให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ และเนื้อเรื่องก็บอกเล่า คู่ขนานไปกับประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเราจะสลับภาพเป็นสีในการเล่าเรื่อง


ในฉากที่ต้องถ่ายแบบใกล้ๆ คุณรักษาระยะห่างอย่างไรระหว่างกล้องกับตัวนักแสดง?

มันต้องพอดีเอามากๆ สำหรับระยะห่าง ผมต้องการถ่ายแบบต่อเนื่อง ผมต้องเพิ่มฉากเข้าไป เพื่อที่จะได้เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นเบื้องหลังหรือรอบๆ ตัวละครนั้นๆ หรือแม้แต่ฉากสถานที่รอบๆ ตัวละคร เพราะทุกอย่างสำคัญ และผมไม่ชอบการตัดต่อ เพราะมันทำให้การเคลื่อนไหวของ ตัวละคร ท่าทางมันกระตุกไม่ต่อเนื่อง ถ้าคุณมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ของผมเรื่อง FLOWER OF SHANGHAI ซึ่งฉากจะนำเสนอใน มุมกว้างมีการตัดต่อจริงๆ แค่ 30 ฉากเอง ทั้งเรื่อง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการจะให้เป็น ผมไม่ใช่ผู้ กำกับที่ต้อง การจะถ่ายเจาะนักแสดง บางครั้งผมไม่ได้ถ่ายพวกเขา และบอกเขาด้วยการต้องกระ ซิบข้างๆ หูเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องอ่านบท แต่เมื่อถึงฉากที่ต้องแสดง ผมก็ปล่อยให้ พวกเขาแสดงบทของตัว เองให้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ   ผมไม่ได้ถ่ายเจาะไปที่ตัวนักแสดง หรือหน้าเพราะผมไม่ต้องการทำลายสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาผ่านทางท่าทาง และ โดยหน้าที่ ของผม โดยตำแหน่งของผม ผมต้องยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในฉากให้ได้ ซึ่งมันอาจจะเป็นฉากที่ดีที่สุดก็ได้ ซึ่งมันทำให้เกิดภาพที่มีเรื่องราว นั่นคือผลพลอยได้ และคำตอบที่ว่าทำไมผมถึงถ่าย ทำแบบมีระยะห่าง มีฉากหนึ่งในภาพยนตร์ที่สำคัญ มันเป็นฉากระหว่าง เที่ยน จิน และ สนมของเขา ผมถ่ายหลายครั้งมาก แต่ว่านักแสดงก็ไม่ได้ท้อและเหนื่อยเลย ผมไม่ใช่คนซาดิสม์นะ แต่กว่ามันจะได้อารมณ์ของฉากนั้นๆ มันจะต้องทำให้เขาแสดงออกถึงความเป็นฉากนั้นจริงๆ พวกเขาต้องเป็นมากกว่าที่ผมเห็น ระหว่างถ่ายทำผมมักจะแอบไปอยู่ในมุมที่นักแสดงไม่เห็นผม พวกเขาจะไม่รู้ว่าผมอยู่ตรงไหน และตรงนั้นผมจะพิจารณา ผู้กำกับควรจะอยู่ในมุมที่ถูกต้องเพื่อจะได้เห็นเรื่องราวในแบบที่มันควรจะเป็น

 

 


ซู ฉี รับบท หยินเหนียง ซึ่งเคยทำงานร่วมกับคุณในภาพยนตร์เรื่อง  Millennium Mambo(2001) และ Three Times(2005) ส่วนจาง เจิ้น  ก็เคยร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง Three Times, มารับบท  Tianคุณคาดหวังอะไรกับทั้งคู่หรือไม่?

พวกเขาเป็นตัวละครในฝันของผมเลย แต่ละคนก็มีฝีมือการแสดงที่ไม่ธรรมดา ทั้งคู่ต้องแสดง ร่วมกัน ผมชอบการแสดงที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา ซูฉี เป็นผู้หญิงสบายๆ ที่อาศัยอยู่ที่ฮ่องกงที่ที่เธอมีเพื่อนๆห้อมล้อมแต่ว่าเธอก็ยังโดดเด่น ส่วนจางเจิ้นเขาเป็นคนยุติธรรมและค่อนข้างเงียบ พวกเขาทั้งคู่ต่างเคารพในตัวเองและให้เกียรติคนรอบข้าง ซึ่งการเคารพตัวเองและการเคารพผู้อื่น นี้เป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการสร้างภาพยนตร์ เหมือนๆ กับชีวิต


มีนักแสดงหญิงเยอะมากในภาพยนตร์เรื่อง The Assassin?

ผมค่อนข้างเข้าข้างผู้หญิงนะ โลกของพวกเธอ โลกของผู้หญิง ความคิดของผู้หญิงมันน่าสนใจ มากกว่าผู้ชายในความคิดผมนะ ผู้หญิงจะมีความอ่อนไหว มีความคิดที่ซับซ้อน คุณอาจจะบอกได้ว่าผู้หญิงมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนและค่อนข้างน่าสนใจ ในขณะที่ผู้ชายมีความคิดที่ค่อนข้าง เป็นเหตุเป็นผลมากกว่าจึงดูน่าเบื่อ นอกจากนี้ผู้หญิงแต่ละคนยังมีความซับซ้อนที่แตกต่างกันอีก ในภาพยนตร์เรื่องนี้ภรรยาของขุนนางไม่ปกป้องสมบัติของตระกูลเว่ยโบเลย หยินเหนียงนักฆ่าสาวมีความแตกต่างในหน้าที่และจิตใจ เธอควรจะทำตามคำสั่งแบบไม่คิดแต่เธอกลับระงับความรู้สึกที่มีต่อชายคนที่เธอจะฆ่าไม่ได้มันมีอารมณ์อิสระ การแก้ปัญหา ความโดดเดี่ยว ซึ่งทั้งสามอย่างนี้ เป็นบุคลิกของตัวละครผู้หญิงในภาพยนตร์ของผม

 


คุณถ่ายทำที่ไหน?

เราถ่ายทำในมองโกเลีย ทางเหนือของจีน และมลฑล หูเบ่ย. ผมเห็นป่าสีเงินและลำธาร มันเหมือนภาพวาดของจีนโบราณ ภาพของแม่น้ำและภูเขา เหมือนภาพที่สะบัดพูกัน แต่ว่า ไม่ได้ออกถึงขั้นแฟนตาซีนะ สิ่งที่ผมต้องการที่จะนำเสนอในภาพยนตร์เกี่ยวกับภาพของทิวทัศน์ ผมต้องการให้คนอยู่ในสถานที่ที่สวยงาม เหมือนทิวทัศน์โอบล้อมตัวละครอยู่ และผมค่อนข้างจะ ถ่ายทำแบบสมจริงเป็นสิ่งที่ทำในชีวิตจริงๆ บางทีพวกเขาก็มีส่วนร่วมในบางฉาก พวกเขาแนะนำ ผมว่าจะถ่ายทำภาพคนโบราณอย่างไร มุมไหน ที่ดูธรรมชาติ และดูเป็นจริง เมื่อชาวบ้านหิว ตัวละครจะไม่สนใจว่ากล้องจะขยับไปทางไหนพวกเขาก็เดินไปตัดเนื้อที่ตากแห้งที่ห้อยอยู่กับเสาเลย และผมก็ถ่ายทำเก็บไว้ แม้ว่ามันจะไม่มีอยู่ในบท  อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ในปรัชญาการทำงานของผมในฐานะผู้กำกับ ผมจะปล่อยทุกอย่างให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น 


คิดอย่างไรที่มีการนำไปเปรียบเทียบกับต้นฉบับที่เป็นนวนิยาย?

ผมไม่เคยสนใจคำวิจารณ์เลย ถ้าภาพยนตร์เป็นแม่น้ำ ผมจะสนใจว่ามันจะไปทางไหน ความเร็วที่ไหล การออกนอกเส้นทาง แรงลม น้ำวน มากกว่านั้นจุดหมายอยู่ที่ไหน จะสามารถออกทะเลได้ หรือไม่


แล้วคุณวางคนดูไว้ฝ่ายไหน?

คนดูบางคนจะนั่งอยู่ท่ามกลางฝนของกระแสที่รับเอาทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตผ่านเข้าตัวเอง ทั้งจังหวะของอารมณ์ที่พลุ่งพล่านและความสงบต่างอยู่รวมกัน แต่ผมก็หวังว่าบางคนจะมีสติ เกาะติดกับปัจจุบันไม่ได้อยู่ท่ามกลางกระแส แต่สามารถเสพกระแส และจัดการทุกอย่างได้ ตามจินตนาการของตัวเอง

 

: สัมภาษณ์, The Assassin

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • แอนดรูว์ เฮคเลอร์ จากนักแสดงสายแอคชั่น สู่ผู้กำกับภาพยนตร์สายคุณภาพ Burden
  • Low Season สุขสันต์วันโสด คือการกลับมาเล่นหนังโรแมนติก-คอมเมดี้ในรอบ 6 ปี ของ มาริโอ้ เมาเร่อ
  • แม่มาแล้วจ้า! เอม วิทวัส และ เจมส์ ภูริพรรธน์ สองเทยเพื่อนซี้ ตัวแรงใน พี่นาค 2
  • พลอย พลอยไพลิน จากเจ้าของเพจ สู่นางเอกหนังเรื่องแรกในชีวิต Low Season สุขสันต์วันโสด
  • หยางหยาง พลิกบทบาทร่วมทีม แวนการ์ด บู๊ทรหด จนพี่ใหญ่ เฉินหลง ต้องยกนิ้วให้
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :