เป็นอีกนักแสดงมากความสามารจริงๆ ทั้งเรื่องร้อง เล่น เต้น ได้หมด สำหรับนักร้องเสียงดี "ต๊งเหน่ง-รัดเกล้า อามระดิษ" ล่าสุดกับผลงานภาพยนตร์แนวสยองแบบฮาๆ โดยเจ้าตัวจะต้องมีการแปลงโฉมเป็น "อาม่า" จัดเต็มเหมือนจริง แค่เห็นก็แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ วันนี้เราจะไปพุดคุยกับบุคคลคุณภาพถึงบทบาทการแสดงแบบจัดเต็มในภาพยนตร์เรื่อง "อาม่า"

บทบาท-คาแรคเตอร์
รัดเกล้า อามระดิษ รับบทเป็น ลู่เอิน หรือ อาม่า ในภาพยนตร์ชื่อเดียวกันเรื่อง อาม่า ค่ะ อาม่าก็เป็นคนสูงอายุ เป็นแม่ม่ายที่อยู่ตัวคนเดียวในบ้าน สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็จะมี อาเหมา (หม่ำ จ๊กม๊ก) พ่อบ้านสมุนมือขวา กับ อาหยก (จันจิ จันจิรา) ที่เป็นหลานของอาเหมาอยู่เป็นเพื่อนคอยดูแลรับใช้ เพราะอาม่าก็ค่อนข้างจะรู้ชะตากรรมตัวเองแล้วล่ะ เพราะอายุก็มากแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยจะแข็งแรง ใกล้ที่จะวาระสุดท้ายแล้ว ก็อยากให้ลูกๆ ก็กลับมาที่บ้าน กลับมาเจอกันครบหน้าพี่น้องทุกคนเป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้าย แต่ยังไม่ทันครบองค์ประชุม อาม่าก็มาตายจากไปเสียก่อน ซึ่งเราจะตั้งกฎเหล็กสั่งเสียไว้ในพินัยกรรมว่าลูกหลานทุกคนจะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ให้ลุล่วงก่อนถึงจะสามารถเปิดพินัยกรรมฉบับสุดท้ายและแบ่งมรดกกันได้ นั่นก็ทำให้ลูกหลานแต่ละคนของเราต้องไปพบเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดไม่คาดฝันหลายอย่างจนแทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกันค่ะ

ความคนไม่ทันหาย ความผีก็โผล่มาวุ่นวายอีก
ใช่ค่ะ อย่างพออาม่าตายไปแล้วเนี่ย จะเรียกว่าออกมาหลอกก็ไม่เชิง จริงๆ มันอาจจะเป็นจิตใต้สำนึกของลูกๆ แต่ละคนที่เค้าอยากจะบอกอะไรอาม่า มีอะไรที่เค้ายังค้างคาใจ ติดค้างอยู่แล้วยังไม่ทันได้พูดกับอาม่า ซึ่งสิ่งที่ลูกแต่ละคนพูดเนี่ยก็คือพูดกับวิญญาณอาม่านั่นเอง แต่ตอนอาม่ามีชีวิตอยู่ลูกหลานก็เกรงกลัวอยู่แล้ว นี่ยิ่งเราตายไปอีกแล้วเป็นศพบนรถเข็นออกมาอีก พวกลูกหลานก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ค่ะ

ยังไม่หมดค่ะ ยังมีวิญญาณของซือซือที่สิงอยู่ที่บ้านนี้เป็นเวลานาน ก็เหมือนมาร่วมแจมในภารกิจเหล่านี้ด้วย ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ทำให้ดวงวิญญาณนี้ที่ถูกสะกดไว้เนี่ยหลุดออกมาได้ เค้าก็ตามหลอกตามหลอนเป็นเรื่องราวสนุกสนาน แล้วก็ทำให้สิ่งที่อาม่าสั่งไว้ในพินัยกรรมเนี่ยมันก็มีเป๋ออกนอกลู่นอกทางไปค่ะ

พี่ต๊งเหน่งมองว่า "อาม่า" เป็นคนยังไง
ก็คิดว่าเป็นคนทรงอำนาจที่เข้าสู่บั้นปลายของชีวิตเนี่ย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมันก็ไม่สำคัญเลย ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ บ้านใหญ่โต เงินทองทั้งหลาย มันคือตัวอย่างที่ดีทีสุดที่ทำให้เราเห็นว่า ท้ายที่สุดเนี่ยเราก็ต้องละทุกสิ่งทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นของนอกกาย ความรู้สึกที่เรามี ความรักที่เรามีให้กับสามี ให้กับลูก ทุกอย่างวันหนึ่งเหล่านี้มันเป็นแค่ความรู้สึก ความอยากจะครอบครอง ความหวงสมบัติ ความปรารถนาดีที่อยากจะให้ลูกหลานได้ดี หรืออะไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือ เมื่อชีวิตจบ ทุกอย่างมันก็จบไปด้วยหมดเลย มันไม่มีประโยชน์เลย ก็เลยมองและคิดว่าทรัพย์สมบัติก็ไม่ได้ช่วยให้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเป็นสุขได้เลย ความสุขใจต่างหากที่จะเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงคนสูงอายุ ที่ถ้าได้อยู่กับครอบครัว เค้าก็น่าจะมีความสุขมากกว่าที่จะกอดสมบัติไว้คนเดียว

การปรับลุกส์เล่นหนังเรื่องนี้ ต้องมีเมคอัพเอฟเฟกต์อย่างยากลำบากเหมือนกัน
เรื่องนี้ต้องเล่นเป็นคนแก่อีกแล้วค่ะ (หัวเราะ) แต่มีบทบาทเยอะขึ้น เรื่องนี้จะเป็นจีนๆ ไม่ใช่ไทยๆ แล้วก็ต้องแต่งหน้าเอฟเฟกต์อีกแล้ว ทากาวที่หน้าอีกแล้ว ตอนเมคอัพก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง นี่แต่งหลายๆ ครั้งเข้าก็จะเร็วขึ้นเรื่อยๆ ครั้งแรกๆ ก็จะนานหน่อยหลายชั่วโมง แต่ว่าตอนล้างออกนี่นานยิ่งกว่านะคะ เพราะเราเป็นคนผิวแห้งมาก ผิวมันก็จะดูดกาวเข้าไป ตอนล้างนี่คือที่สุดแล้ว นี่คิดว่าถลกหนังหน้าพี่ทำไม (หัวเราะ)

การแสดงด้วยอุปกรณ์ประจำตัวอย่าง "รถเข็น"เป็นยังไงบ้าง ความยากง่ายในการควบคุม
เนื่องจากอาม่านี่เป็นหญิงชรา สุขภาพไม่ค่อยดี จึงต้องนั่งอยู่บนรถเข็นซะส่วนใหญ่ มันไม่ได้ลำบากในแง่ที่ต้องใช้แรง แต่จะลำบากในแง่ของการบังคับทิศทาง เพราะมันจะไวมาก ไม่เหมือนกับการขับรถที่ถอยหลังแล้วเราจะต้องหมุนอีกทิศนึงเพื่อให้ไปอีกทิศนึง แต่ว่ารถเข็นไฟฟ้านี่จะให้หันไปทางไหนเวลาถอยเนี่ยเราจะต้องหักคันโยกไปทางนั้น คงจะคล้ายๆ กับเล่นเกมมากกว่า ส่วนในเรื่องเนี่ยพอเราตายไปแล้วก็ไม่ต้องบังคับเองแล้ว ก็สนุกนะคะ ก็เหมือนเรามีรถเล็กๆ ของเราเอง เราก็จะปรู๊ดปร๊าดไปไหนมาไหน เนื่องจากเป็นรถไฮโซเนาะ ราคาแพง ก็จะเลื่อนได้หลายระดับ เหมือนมีเกียร์ ปรับระดับได้ หมุนซ้ายหมุนขวาหมุนเป็นวง สนุกมาก เพียงแต่ว่ามันจะค่อนข้างกลับกันกับพวงมาลัยรถนิดนึง มันจะไม่เหมือน เราต้องสมาธินิดนึงว่าบังคับเก้าอี้ไฟฟ้าอยู่นะ ไม่ใช่ขับรถ ไม่งั้นพอกดไปผิดข้าง โยกคันไปผิดข้าง อ้าว ไปคนละทาง แต่ก็ไม่ถึงกับฝึกนานมากขนาดนั้น ถ้าคนที่ขับรถเป็นก็จะรู้ว่ามีการกะระยะ การตีโค้งนิดนึงอะไรอย่างนี้

มีความหนักใจ กดดัน หรือยากง่ายยังไงในการเล่นหนังเรื่องนี้บ้าง
ที่หนักใจเลยคือเรื่องแต่งหน้าเอฟเฟกต์ เพราะว่าเป็นคนแพ้แอลกอฮอลซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของกาวและน้ำยาล้างหน้า เพราะฉะนั้นมันแสบมาก ต้องพุทโธอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่แต่งหน้าตอน 7 โมงเช้าถึงเลิกกองเที่ยงคืน คือมันจะแสบยิบๆๆๆ อยู่ตลอดเวลาเลยจริงๆ จนล้างออกก็แพ้น้ำยาล้างอีก หลังจากล้างเสร็จหน้าก็จะแดงเหมือนหน้าไหม้เลย เพราะฉะนั้นอันนี้มันเป็นสิ่งที่อยู่กับเราตลอดเลย ไม่มีช่วงพักหายไป แต่ทีนี้มันก็เป็นเรื่องทางกายภาพที่เราต้องเอาจิตเข้าไปบังคับมันเพื่อไม่ให้ไปสนใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เพื่อเราจะได้เป็นตัวละคร

ในแง่คาแรคเตอร์คือเนื่องจากเราเป็นคนตาย สิ่งที่ต้องระวังอยู่ตลอดก็คือการหายใจ เราก็ต้องกลั้นหายใจแล้วผ่อนลม แต่ในแง่การถ่ายทำว่าจะต้องเข็นอะไร หนีอะไรเนี่ย เราไม่ต่องทำเองเพราะเราตายไปแล้ว ก็มีจะมีคนคอยเข็นให้ (หัวเราะ)

การร่วมงานกับทีมนักแสดง
เคยร่วมงานกับ ฮัท มาในคอนเสิร์ตตอนหนังเรื่อง แม่เบี้ย ด้วยกัน พอมาในเรื่อง อาม่า นี้ ฮัทก็ต้องเล่นเป็นลูกหลงคนเล็กที่เราก็รักมาก แล้วก็ต้องมาเล่นเป็นสามีเราด้วย เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่มีกับเค้า มันก็จะต้องเป็นทั้งสองอย่าง คือเป็นแม่ที่รักลูกมาก ลูกคนนี้คือลูกหลงที่เรามีตอนอายุมากแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็จะสปอยล์ ตามอกตามใจ อยากจะได้อะไรก็ได้ ส่วนในฐานะที่เค้าเป็นสามีเรา เป็นคนที่เรารักมาก ผู้หญิงสมัยก่อน เราเป็นช้างเท้าหลังก็จริง แต่ทำงานอะไรก็ตามปรึกษา สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยกันตลอด ก็ไม่มีปัญหาอะไรในการทำงานร่วมกัน

พี่หม่ำ เคยร่วมงานกันมาแล้วจาก อุโมงค์ผาเมือง ก็ประทับใจ เพราะพี่หม่ำเป็นคนที่สมาธิดีมากๆ แล้วก็จะนิ่งมากก่อนที่จะเข้าฉาก พูดง่ายๆ ตัวจริงพี่หม่ำเป็นคนนิ่งๆ แต่พอเข้าฉากปุ๊บ พี่หม่ำก็จะมีปฏิภาณไหวพริบที่เฉียบคมมากๆ พี่หม่ำก็จะคิดมุกอะไรต่างๆ เราก็ต้องตั้งรับ เราก็ต้องสมาธิดีด้วย ถ้าเราจิตไหวเนี่ยก็จะขำ จะหลุดจากความเป็นตัวละครได้    

จันจิ เล่นเป็น หยก ซึ่งจะอยู่เคียงข้างอาม่าตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราจะมีความเอ็นดูเค้าสูงมาก ตั้งแต่ตอนซ้อมละ เรารู้สึกเลย เวลาเล่นรับส่งกับจันจิเนี่ย เค้าก็ส่งความห่วงใย ส่งความนับถือ ความต้องการที่จะดูแลเราเนี่ยมาให้ตั้งแต่ตอนซ้อมแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยรู้สึกว่าเอ็นดูเค้า รักเค้า

การทำงานกับผู้กำกับใหม่
กับ จืด บดีกร ผู้กำกับใหม่ เราก็จะมีการพูดคุยกันตอนอ่านบทและก็ตอนซ้อม ผู้กำกับก็จะมีการพูดคุยปรึกษากันตลอดว่าต้องการอะไรแบบไหน เพราะฉะนั้นตอนที่ซ้อมเราก็จะเรียนรู้ตัวละครไปด้วยกันว่าตัวละครจะเป็นยังไง เมื่อมาถึงที่หน้าเซ็ตจริงๆ ถ้าจืดต้องการอะไรที่ต่างไปจากที่เราซ้อมหรือว่ามีอะไรเพิ่มเติมมา หรือจะตัดอะไรออกไปผู้กำกับเค้าก็จะมาบอกอะไรอย่างนี้ค่ะ

เสน่ห์ความน่าสนใจหรือความโดดเด่นโดยรวมของหนังเรื่องนี้
เรื่อง อาม่า นี่ต้องเรียกว่ามันจะมีความพลิกล็อกอยู่เยอะทั้งเรื่องเลย มันจะสนุกถ้าเราไม่คิดไปก่อน ถ้าเราไม่คาดหวัง เราก็ตามเรื่องไปเรื่อยๆ เพราะว่ามันจะมีความดราม่า แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นหนังตลก นอกจากเราจะหัวเราะกับมุกตลกต่างๆ เราก็ยังได้ข้อคิดที่เรามองเห็นได้ว่า มันก็แค่นั้นเอง ชีวิตมนุษย์แค่นั้นเองจริงๆ อยากให้ติดตามกัน คือถ้าผู้ชมจะเสพความสนุกสนานบันเทิงความโกลาหลหรือมุกตลกต่างๆ เนี่ย แน่นอนว่าเรามีให้ทั้งเรื่องอยู่แล้ว แต่สิ่งที่นอกเหนือไปจากนั้นอันนี้ก็ต้องแล้วแต่คุณผู้ชม แต่ในฐานะตัวละครอาม่าเอง สิ่งที่เราต้องการจะสื่อให้เห็นก็คือ จริงๆ ครอบครัวเป็นสถาบันขั้นพื้นฐาน เป็นสถาบันแรกของสังคมที่จะหล่อหลอมบุคคลที่อยู่ในสังคมว่าจะมีทิศทางในการเติบโตไปเป็นยังไงต่อไป เพราะฉะนั้นครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญมาก ความรัก ความอบอุ่น นอกเหนือไปจากนั้นก็ความสามัคคี ความเข้าใจกันของคนที่อยู่ในครอบครัวเนี่ยเป็นเรื่องที่ละเลยมองข้ามไม่ได้ ต้องจัดการก่อน อันนี้เป็นสิ่งที่อาม่าเห็น และในฐานะตัวละครอาม่าคิดว่าอยากจะนำเสนอในจุดนี้ให้กับคุณผู้ชมค่ะ

ก็ขอเชิญชวนผู้ชมที่อยากจะผ่อนคลายกับความสนุกสนาน เรื่องราวสนุกๆ ของครอบครัวหนึ่งที่ต้องมีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จเพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติ แต่ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมาย มีตัวละครที่มาทำให้เรื่องราวอลวนสับสนวุ่นวายกันเข้าไปอีก เรียกว่าเป็นความสนุกที่คาดเดาไม่ได้ ไม่อยากให้ทุกคน 11 สิงหาคมนี้