ข่าว > ข่าวดาราทั้งหมด > ข่าวดาราไทย

จาก "อันธพาล" สู่ "ขุนพันธ์" การกลับมาร่วมงานครั้งสำคัญของ "แฟรงค์ ภคชนก์" กับอีกหนึ่งบทบาทที่ทุกคนต้องจับตา

8 ก.ค. 2559 10:03 น. | เปิดอ่าน 1526 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

"พี่โขมเป็นคนที่ใช้ความมืดมาบีบคั้นคนดูเพื่อให้เห็นคุณค่าของแสงสว่าง เขาใช้ความมืดกดดันเพื่อให้คนดูหิวกระหายความสว่าง และเมื่อความสว่างโผล่ออกมาเมื่อไหร่มันจะดื่มด่ำขึ้นมาทันที มันจะโอ้ว มันสว่างแล้ว และนี่คือวิธีการของพี่โขมที่ผมชอบความละเมียดละไมแบบนี้มาก กดดันให้คนหิวความสว่าง กดดันให้คนหิวความสดใส พอมันถึงความสว่างขึ้นมาปุ๊บ อ๋อมันสว่างขึ้นมาจริงๆ"

มุมมองของ "แฟรงค์ " ที่มีต่อลายเซ็นต์ในการกำกับของ "ผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ"

Q: ครั้งแรกที่ได้รู้จักท่านขุนพันธ์
แฟรงค์ ภคชนก์: รู้จักท่านขุนพันธ์ครั้งแรกจากหนังสือพิมพ์ครับ จากรายการทีวี จากหลายๆแหล่งที่ต่างพูดเหมือนกันว่าท่านคือตำรวจที่ดี แล้วก็ทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ที่โดนใจมากเลยก็คือเรื่องของการมีอาคม คือคนสมัยก่อน สภาวะแวดล้อมสิ่งต่างๆ มันไม่เหมือนสมัยนี้ มันก็จำเป็นที่ต้องมีคาถาอาคม อย่างผมเองมีโอกาสที่ได้ทันคุณทวดของผมซึ่งเป็นคุณยายของคุณพ่อ คุณทวดจะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่งซึ่งในนั้นก็จะมีคาถามากมาย อย่างเช่น เวลาที่คุณโดนของร้อนไฟลวกนะคุณก็ต้องเป่าคาถานี้นะ เวลาคุณเดินไปในพงหญ้าคุณกลัวงูคุณก็ต้องท่องคาถานี้นะ พออ่านเรื่องของขุนพันธ์ว่าท่านมีคาถาอาคมก็เลยยิ่งอินเข้าไปใหญ่ เมื่อก่อนมีความศรัทธาทางด้านนี้ เขามีวิชาอย่างนี้อยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าท่านเป็นตัวแทนของคนไทยในยุคนั้น ท่านก็เป็นตำรวจตัวแทนของด้านสว่าง ถ้าในวันวานคนทุกคนมีอาคม คุณจะใช้อาคมของคุณไปในทางไหนล่ะ ท่านมีพลังอาคมอันแก่กล้าแล้ว ท่านใช้ไปในทางที่ดี นี่คือฮีโร่ของยุคนั้นครับผม แล้วพอได้มีโอกาสมาร่วมงานภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ ความรู้สึกที่มีต่อขุนพันธ์เมื่อสัมผัสแรกยิ่งเข้มข้นมากขึ้นด้วยความชื่นชม และประทับใจจากการได้รู้เรื่องราวในส่วนประวัติของท่าน ว่าท่านปราบเสือ ปราบโจรร้ายมาหลายที่ ด้วยพลังของความดี

Q: ทราบมาว่าในการที่ได้มีโอกาสเป็น1ในตัวละครสำคัญ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อรับบทนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงกับศึกษาบรรยากาศแวดล้อมของยุคสมัยของภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว
แฟรงค์ ภคชนก์: ผมก็ต้องไปหาว่ายุคนั้น ยุคก่อนสงครามโลกบ้านเมืองมันเป็นอย่างไร ความวุ่นวายมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็มีการอ่านหนังสืออยู่ 3 เล่มครับ(หัวเราะ) เพื่อดูภาพของความเป็นอยู่ตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ จนถึงช่วงเวลาที่ขุนพันธ์มีชีวิตครับ เล่มที่ 2 พูดถึงเรื่องความคิดของชนชั้นปกครองที่เปลี่ยนไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4 - รัชกาลที่ 7 ตอนที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เล่มที่ 3 อ่าน100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว มันเป็นหนังสือที่เป็นเรียกว่าเป็นแนวหรือประเภท Magical realism ซึ่งเป็นแนวเดียวกับหนังเหมือนกัน ก็เลยได้คำตอบว่าสังคม ความคิดของคนมันไม่เหมือนตอนนี้ คนไทยยังคิดเรื่องเหตุผลแบบไตรภูมิอยู่ครับ แบบเวียนว่ายเกิดแก่เจ็บตาย ฉันเป็นผู้น้อยเพราะว่าฉันทำบุญมาน้อยในชาติที่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันความคิดแบบใหม่มันกำลังวิ่งเข้ามาในเมืองไทย แบบการศึกษา คิดแบบฝรั่ง ณ ยุคหนึ่งของขุนพันธ์ คนเรามีมีสิทธิ์ที่จะหาความรู้ได้ เราเริ่มมองข้ามความคิดแบบบาปบุญคุณโทษ เรารวยได้เราเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ มันเลยเป็นช่วงจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่ทำให้เกิดโจรไง แบบหลวงโอฬารทำไม่ดีใส่ กดขี่ข่มเหง การสอดส่องปกครองยังไม่ทั่วถึง การจะออกจากกรุงเทพฯไปแค่ราชบุรีมันใช้เวลาวันหนึ่งนะครับคุณ เมื่อสังคมข้างบนมันเต็มไปด้วยคนที่คิดที่จะดึงผลประโยชน์ต่างๆเข้าหาตัวเอง นั่นแหละครับมันเลยทำให้เกิดฮีโร่ขึ้นมา ขุนพันธ์เป็นคนที่ไม่ยอมที่จะทำตัวไม่ดี เชื่อมั่นในความดี แล้วออกไปปราบเหล่าเสือร้าย ในที่สุดเท่าที่อ่านมา ณ จุดนั้นเสือร้ายบางคนไม่ใช่โจรร้าย บางคนทำด้วยคุณธรรมด้วยซ้ำไป นี่แหละครับ ท่านเป็นคนที่เชื่อมั่นในพลังของความดีแล้วพลังความดีก็ปกป้องท่าน ถามว่าเสือร้ายต่างๆ มีอาคมมั้ย มี แต่ว่าสิ่งที่เป็นอาคมที่มีพลังที่สุดคือความดีของท่าน มันเป็นเรื่องยากมากที่คนมีพลังขนาดนั้นจะดึงตัวเองให้อยู่ในด้านสว่างตลอดเวลาครับผม

Q: การกลับมาร่วมงานกับก้องเกียรติ  โขมศิริ เป็นครั้งที่2 ได้มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
แฟรงค์ ภคชนก์: ตอนแรกพอได้ทราบว่าจะได้เล่นเรื่องขุนพันธ์ ผมก็เตรียมตัวโดยการเอาหนังสือประวัติศาสตร์มาอ่าน ผมอยากจะดูสภาพแวดล้อมของประเทศเป็นอย่างไร การคมนาคมจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งลำบากยากเย็นขนาดไหน และมันทำให้เรารู้ว่าการเดินทางจากพระนครไปเมืองใต้ มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลยนะ มันเป็นเหมือนการเดินทางไปจาริกแสวงบุญด้วยซ้ำไปเพราะว่ามันเป็นการเดินทางที่ไกลมาก คนๆ หนึ่งที่จะสามารถไปตรงนั้นด้วยปฏิบัติการลับได้ จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจมุ่งมั่นจริงๆ สำหรับการทำความดี สำหรับการทำหน้าที่ของตัวเองซึ่งผมก็ดีใจครับที่ได้มีโอกาสเป็นตัวละครซึ่งเป็นปรปักษ์กับขุนพันธ์ เป็นคนที่จะต้องสู้กับอำนาจของความดีที่บริสุทธิ์ขนาดนั้น ในเมื่อเรามีโอกาสได้รู้ว่าเราจะต้องสู้กับคนดีมากๆ มันทำให้ผมต้องไปเตรียมตัวว่าเลวแค่ไหน เพื่อที่พอจะสู้กับคุณธรรมของคนอย่างนี้ให้ได้ เป็นเกียรติที่ได้นำเสนอเรื่องของท่านให้คนได้รู้ว่าคนที่รักประเทศชาตินี้และมีอุดมการณ์ที่แท้จริงเคยอยู่ในประเทศนี้ แล้วผมก็หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คนได้กลับมาสู่ยุคสมัยที่ผู้คนต่างมีอุดมการณ์กลับมาอีกครั้งหนึ่งครับ

Q: เรื่องราวของท่านขุนพันธ์จากมุมมองของแฟรงค์
แฟรงค์ ภคชนก์: เรื่องราวของขุนพันธ์เป็นเรื่องของข้าราชการตำรวจท่านหนึ่งครับซึ่งมียศเป็นท่านขุน ท่านเป็นมือปราบโจรดังๆมากมาย มีเรื่องเล่ามากมายว่าท่านเป็นนายตำรวจหนังเหนียว เป็นตำรวจซึ่งถ้าจับโจรได้แล้วจะเอาหัวกะโหลกของโจรมาไว้ใต้บันไดเป็นการตัดไม้ข่มนาม เป็นตำรวจซึ่งสามารถปราบเสือร้าย ซึ่งใครบอกว่าคงกระพันชาตรีก็ปราบได้ มีเวทย์มนต์ท่านก็ปราบได้ แต่สิ่งที่ผมมองไปมากกว่าการมีเวทย์มนต์ หรือเรื่องมนต์ดำคือท่านมีจิตใจที่มุ่งมั่นในความดี และท่านก็มีความศรัทธาในสิ่งที่ท่านทำว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกที่ต้อง พระถึงคุ้มครองท่าน

Q: ที่เราจะได้เห็นฝีไม้ลายมือทางด้านการแสดง ของนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทย มาเฉือดเชือนตั้งแต่นักแสดงหลักอย่างอนันดา, น้อย-กฤษดา ไปจนถึงนักแสดงสมทบ
แฟรงค์ ภคชนก์: ใช่ครับ ผมดีใจมาก ผมเห็นนักแสดงแต่ละคน ล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงที่มีพลังทางการแสดงสูงครับ ตัวละครที่เป็นนักแสดงสมทบในบทนายตำรวจเผือก หรือสารวัตรดำเกิง หรือใครอีกหลายคนซึ่งล้วนต่างมีความกระหายที่จะแสดง น้องอ้อม-กานต์พิสชา(แม่เบี้ย) ซึ่งมันทำให้เข้มข้น แล้วบทของพี่โขมที่เขียนมามันจะพลิกไปตลอดเรื่อง เรื่องที่คุณคิดว่าคุณรู้แล้ว สิ่งที่เฉลยออกมามันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง คือมันจะมีตลอดทั้งเรื่องให้เราได้ติดตามกัน และแน่นอนว่าทีมแอ็คชั่น นักแสดงคิวบู๊ต่างๆแต่ละคนก็ทุ่มเทจริงๆครับ คิวบู๊อลังการมาก รับรองว่าคุณจะได้ทั้งความสนุกสนานทางด้านแอ็คชั่น ได้ความเข้มข้นของการเชือดเฉือนของบท แต่ที่ท้าทายมากๆ คือการที่ต้องเล่นกับนักแสดงที่มีความสามารถสูงๆ อย่างอนันดา พี่น้อย เขาจะต้องปะทะกันด้วยอารมณ์ด้วยคารม บางฉากมันมีการพูดกันน้อยมาก บางฉากขุนพันเดินขึ้นมาบนโรงพักเพื่อที่จะปลดหลวงโอฬารออกจากตำแหน่งคืออนันดาเขาก็มาเต็มไง เพราะเขาทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องทำอย่างไรให้เอาอยู่ สามารถตอบโต้เล่นโต้กันได้ ก็ดีใจครับที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงที่มีฝีมือ ก็เลยทำให้เราอยากจะพัฒนาฝีมือให้มากกว่านี้ เลยรู้สึกว่าเราค่อนข้างได้บทที่ค่อนข้างโชคดี แล้วก็มีสีสันมากๆเลย

Q: คงต้องเล่าให้ฟังแล้วถึงบทบาทที่ได้รับในภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์
แฟรงค์ ภคชนก์: ผมรับบทเป็นหลวงโอฬาร เป็นข้าราชการที่อยากเป็นใหญ่ ด้วยการให้ผลประโยชน์แก่คนต่างๆโดยที่ไม่ได้มอบสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ มอบสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อเกินจำเป็นมันก็เลยทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเหล่านี้เสียไป เบื้องหน้าอาจจะดูเป็นคนที่ดูใจดีดูเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ความช่วยเหลือคนอื่น แต่ที่จริงแล้วหวังสิ่งตอบแทน ไม่ได้เพราะใจเมตตา จุดเริ่มต้นของตัวหลวงโอฬารก็คล้ายๆกับข้าราชการ แต่เขาก็รู้ว่าอุดมการณ์ที่ดีมันก็ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นจริงได้ง่าย ในโลกของความเป็นจริง เขาก็เลยเลือกทำความเลวทำได้ง่ายกว่า ตัวหลวงโอฬารกลับมองที่ความสุขคือรูปร่างภายนอก ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดๆเป็นข้าราชการที่ขี้ฉ้อโกงกิน ขายชาติ ต่ำช้า ด้วยความคิดที่ว่า ทุกคนสามารถเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาได้ เมื่อหลวงโอฬารได้ถูกย้ายไปที่ที่ทุรกันดารห่างไกลด้วยความคิดที่แสนชาญฉลาดและเลวร้าย ในเมื่อเราไม่ได้อยู่ในที่ที่เจริญ เราก็สร้างความเจริญขึ้นมาใหม่สิ หลวงโอฬารเป็นคนที่เรียนนอกมา อันนี้เป็นแบคกราวด์ข้างหลังของตัวละครไม่ได้ถูกเอามาเล่าในหนัง เรียนปีนังมา อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ อ่านภาษาฝรั่งเศสได้ มีความคิดแบบฝรั่งเศสที่แบบเป็นนักปฏิวัติ ฉันสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ มีความรู้ทางการเมือง สงครามโลกกำลังจะมาใกล้แค่ไหน ฮิตเลอร์อยู่ตรงไหนของโลกแล้ว เขาใช้ช่องว่างนี้ในการเอาเปรียบคน เขาสร้างท่าเรือขึ้นมาเพื่อให้สินค้าเข้า เขาทำให้มีฝรั่งเข้ามาตรงจุดนี้ เพื่อให้มันมีวิถีชีวิตแบบชาวฝรั่ง และก็ดึงคนในชุมชน ดึงคนในเมืองเข้ามาทำงานรับใช้ฝรั่ง เพื่อให้คนที่มีชีวิตแบบเดิมได้เห็นถึงชีวิตแบบศิวิไลซ์ เขาสร้างบ่อนขึ้นมาเพื่อให้วงจรชีวิตของคนในนั้นต้องมาติดกับเขา เขาก็จะเป็นเจ้าของเงินตราติดลบของทุกคนในชุมชน สร้างสโมสรงาช้างเพื่อเป็นแหล่งที่จะทำให้มีฝรั่งมีชาวญี่ปุ่นทำให้สโมสรนี้เป็นจุดศูนย์รวมของโลก แล้วก็ตบตาคนทั้งเมืองว่าสิ่งที่เขานำมานั้นคือความเจริญ โดยมีศูนย์กลางที่เมืองเมืองนี้ เหมือนกับคนที่ถูกบีบให้ไปอยู่ชายขอบ เขาก็จะกลายเป็นโจรนั้นก็คืออัลฮาวียะลู หลวงโอฬารเลือกที่จะใช้โจรเป็นกองกำลังของตัวเองในการนำสินค้าเข้า ในการนำสินค้าหนีภาษีเข้า เอามาขายในราคาแพงในสโมสรงาช้างของตัวเอง ลูกสาวของคนที่ไม่มีหนี้ที่จะใช้ก็ต้องกลายไปเป็นโสเภณี ซึ่งจริงๆ พวกเขาไม่ใช่โจร เมืองนี้ไม่ให้มีการตรวจสอบจากรัฐบาลกลางมาโดยตลอด จนขุนพันธ์เข้ามาทุกอย่างก็เลยเกิดขึ้น ขุนพันธ์มาเป็นฮีโร่

Q: เห็นว่าผู้กำกับก้องเกียรติใส่ใจในทุกรายละเอียดของตัวละคร ถึงขนาดที่ว่าเราสามารถสัมผัสได้ถึงบุคลิกคาแรคเตอร์ของตัวละครสะท้อนผ่านจากชุดหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่เลยทีเดียว
แฟรงค์ ภคชนก์: การแต่งตัวของหลวงโอฬารก็จะสะท้อนถึงบุคลิกของเขา ที่จะใส่ใจหรือสนใจแต่เรื่องภายนอก ข้างในมันจะเป็นอย่างไรไม่ได้สนใจ จากการแต่งตัวดูมีอารยะ เหมือนกับที่เขาเอาความเจริญมาใส่ให้ ความเจริญฟู่ฟ่า แต่จริงๆ แล้วคนต้องการรึเปล่า ผมใส่ครั้งแรกแล้วผมแบบ ยืนกลางกองแล้ว ฮาๆๆ เสื้อฉันขาวกว่าใครเพราะว่าฉันรับสบู่จากปีนังมาใช้ เอาสบู่จากปีนังมั้ยล่ะก้อนละ 20 บาทเอง ทองบาทละตั้ง 20 เขาเดินไปไหนเขาก็จะมีกล้องตัวหนึ่งตาม เขาสามารถที่จะซื้อกล้องเข้ามานะ พอทำคาแรคเตอร์กับพี่โขมไปประมาณหนึ่งด้วยการนั่งคุยกัน ผมอ่านหนังสือเล่มนี้มา ผมสามารถทำท่าน่าหมันไส้ได้อย่างไม่เคอะเขิน

Q: ฟังดูแล้วเป็นตัวละครสำคัญที่พูดได้ว่าเป็นทั้งตัวแปร และเป็นตัวละครที่มีสีสันมากเลยทีเดียว ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับอีกตัวละครสำคัญอย่าง "อัลฮาวียะลู" คู่ปรับคนสำคัญของขุนพันธ์
แฟรงค์ ภคชนก์: "อัลฮาวียะลู" ที่แสดงโดยพี่น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ในภาพยนตร์เขาเป็นทายาทโจรมาตั้งแต่แรก เราเห็นเขามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เราเห็นแววความมุ่งมั่นของเขาในการทำเพื่อส่วนรวม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนหัวอ่อนซึ่งๆสามารถเกลี่ยกล่อมได้ง่าย เพราะว่าจิตใจเขาดีบริสุทธิ์ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่หลวงโอฬารใช้ความบริสุทธิ์ของคนรอบตัวของ "อัลฮาวียะลู" มาเป็นเครื่องมือโดยการร่วมมือกัน สิ่งที่ "อัลฮาวียะลู" ปล้นมาได้ก็จะนำมาเป็นกำลังทรัพย์ของหลวงโอฬารเพื่อที่จะเลี้ยงกองกำลังของ "อัลฮาวียะลู" ต่อไป เพื่อที่จะปกป้องเขาบูโดนี้ให้อยู่ใต้อาณัติของหลวงโอฬาร เงินที่ได้ก็เอามาสร้างสโมสรงาช้างเป็นที่ที่ผลิตเงินจากสิ่งนอกกฎหมายมากมาย จนกระทั่งวันหนึ่งที่ขุนพันธ์สามารถเข้ามาในเขตนี้ได้ มันทำให้ตัวหลวงโอฬารต้องปรับตัวกับการสั่นคลอนของอำนาจ เพราะว่าตัวขุนพันธ์ก็เอาจริงเอาจังและในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถจะปราบเขาลงได้เหมือนกับผู้ตรวจการคนอื่นๆ ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเราก็คงต้องชนกัน แต่หลวงโอฬารวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว โดยใช้กองกำลังของอัลฮาวียะลูเป็นตัวต้านทานขุนพันธ์ นี่คือสิ่งหนึ่งที่สะท้อนในตัวคาแรคเตอร์ที่ว่าเขาพร้อมจะไปทุกอย่าง มีช่องทางไหนที่เขาจะเติบโตได้ ที่จะใหญ่ได้ เขาพร้อมที่จะทำ และพร้อมที่จะเปลี่ยนเหตุผลให้ตัวเองได้เสมอๆ เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น

Q: ถือได้ว่าเป็นตัวร้ายในภาพยนตร์แอ็คชั่นที่มีมิติและเต็มไปด้วยความซับซ้อนเลยทีเดียวในฐานะนักแสดงแล้วบทนี้ทั้งยากและท้าทายการแสดงอย่างไรบ้าง
แฟรงค์ ภคชนก์: พอเมื่ออ่านบทผมเชื่อว่าบทของหลวงโอฬารเป็นตัวแทนของความเลว และผมก็ทำการสดุดีความดีของขุนพันธ์ ด้วยการทำตัวหลวงโอฬารให้เลวที่สุดอย่างสมเหตุสมผลในทุกๆ มิติ อย่างมีที่มาที่ไป ผมเชื่อว่าถ้าตัวละครของหลวงโอฬารยิ่งเลวเท่าไหร่พลังงานความดีของขุนพันธ์จะยิ่งส่องแสงได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พี่โขมบอกว่าหนังเรื่องนี้พี่โขมอยากจะให้คนได้เห็นคุณค่าของความดี พี่โขมจะเล่าถึงความมืดมนที่มันเกิดขึ้นจนท่านผู้ชมกระหายอยากความสว่าง ผมได้รับบทเป็นความมืดมนสีขาว ที่มันดูช่างสะอาดเหลือเกิน เพราะฉะนั้นยิ่งผมไปได้สุดเท่าไหร่มันยิ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อท่านขุนพันธ์มากแค่นั้น ผมพยายามทำสุดฝีมือ สำหรับบทหลวงโอฬาร มันมีความยากอยู่อย่างหนึ่งคือ หลวงโอฬารจะเป็นคนที่รู้อะไรก่อนที่ทุกคนในเรื่องนี้จะรู้ทุกอย่าง อันนี้คือข้อได้เปรียบของตัวละครนี้ แล้วมันทำให้เราสนุกสนานว่า แล้วเราจะเก็บไว้ยังไงให้ทั้งคนดูก็ไม่รู้ทั้งคนที่เล่นกับเราก็ไม่รู้ว่าเรารู้ ความท้าทายที่สุดมันคือ มันคือการต้องอยู่ในยุคนั้นให้ได้ เมื่อก่อนการที่คนจะรู้ข่าวสารรอบๆได้นั้น มันไม่มีหนังสือพิมพ์ ประเทศไทยไม่มีวิทยุ ส่วนมากคนเราจะได้รับข่าวสารจากลิเก หนังตะลุง ลำตัด คณะโน้นคณะนี้ที่เวียนกันมาแล้วก็เล่าขานด้วยภาษาไทย แต่หลวงโอฬารมีช่องทางการรับรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ แสดงว่าเขาจะต้องมีความรู้เรื่องภาษา ในเรื่องก็จะมีชาวฝรั่งเศสเข้ามาสโมสรงาช้าง ต้องพูดหลายภาษามากเป็นนักการเมืองชาวใต้ก็ต้องพูดภาษาใต้ได้ ซึ่งภาษาใต้ยากที่สุดเพราะว่าสำเนียงมันยาก แล้วถ้าเกิดพูดผิดมันจะกลายเป็นล้อ เราก็พยายามที่จะพูดให้ชัดทันที ต้องพูดภาษาญี่ปุ่น ร้องเพลงญี่ปุ่น มีกงสุลฝรั่งเศสเข้ามาก็ต้องพูดภาษาฝรั่งเศส อาศัยว่ามีเจ้าของภาษา มาอธิบาย แต่ละพยางค์ แต่ละประโยคว่ามันหมายถึงอะไร แล้วก็พยายามที่จะสื่อสารให้ได้ในจังหวะจะโคนที่มันถูกต้อง พี่โขมส่งครูฝรั่งเศสมาให้ก็เขียนคำภาษาไทย ไปหาหนังฝรั่งเศสมาดู เขามีวิธีการออกเสียงกันอย่างไร ญี่ปุ่นนี่ตอนแรกไม่ต้องได้พูดหรอก แต่ว่าคุยกับพี่โขมว่าพอถึงไลน์ที่เสนอขายชาติเราพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นกลับไป มันจะดีมั้ยพี่ พี่เขาบอกเอาๆ แล้วก็ได้ฉากนี้มาเขาก็สอนให้ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย แต่ที่ยากที่สุด ภาคใต้ครับผม มันจะต้องมีฉากปราศรัย แล้วบทมันก็เป็นภาษาไทยภาษาภาคกลางนี่แหละ พี่โขมบอกว่า เฮ้ยแฟร้งค์เคยเห็นนักการเมืองมั้ยเวลาไปไหนเขาจะพูดภาษานั้นนะ คุณเป็นคนกรุงเทพแต่ว่าสิ่งที่อยากได้คือเป็นนักการเมืองแบบน่ารัก พูดภาษาใต้เลย แล้วมันอันตรายมากคือภาษาใต้ถ้าเราพูดไม่ตรงมันจะเหมือนล้อเลียนทองแดง ก็ได้คุณครูสน อัดวีดีโอคุณครูสนเลยให้อ่านให้ฟังแล้วก็เหมือนร้องเพลงเลย เนี่ยแหละความท้าทาย และสิ่งที่เป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่งในคาแรคเตอร์นี้ก็คือ หลวงโอฬารเป็นคนที่รู้เยอะ มีความทะเยอทะยานด้วย บุคลิกของเขาก็เลยมีพลัง มันคือการที่ผมศรัทธาในความดีของขุนพันธ์ครับ

Q: ฉากที่เป็นความประทับใจในการทำงานในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์
แฟรงค์ ภคชนก์: มีหลายฉากครับที่ประทับใจ ฉากโรงพัก เป็นการพบกันครั้งแรกของหลวงโอฬารกับขุนพันธ์ หลังจากที่หลวงโอฬารไปฆ่าจเรตำรวจมาแล้ว รู้ข่าวว่าจเรตำรวจจะมา เอาอัลฮาวียะรู และสมุนออกไปฆ่า คนที่เล็ดรอดมาได้คือขุนพันธ์ แล้วก็อยู่ในสโมสรงาช้างมาตลอดจนวันหนึ่งเขาจึงปรากฏตัวในเครื่องแบบมาที่โรงพัก แล้วไล่หลวงโอฬารออกจากราชการ ด้วยพลังของความดี และความเลวก้อนใหญ่ๆ พอมันชนกัน คือฉากนั้นเล่นมันมาก คือแบบว่าคุณรู้ว่าผมเลว ผมรู้ว่าคุณดี เรามาพิสูจน์กันว่าความดีหรือความเลวหรืออำนาจกันแน่ที่จะข่มกันอยู่อย่างนี้ แล้วเป็นครั้งแรกที่เล่นกับอนันดา เราได้สัมผัสเขามีพลังอยู่ข้างใน วันนั้นผมไม่ออกจากกองเลย ผมประทับใจ ผมเดินตามอนันดาเดินดูว่าอนันดาแสดงอะไรต่อ อีกฉากหนึ่งที่ประทับใจเลย อันนี้เป็นเรื่องงานสร้างย้อนกลับไปพอผมอ่านหนังสือสามเล่ม ผมได้เห็นภาพของเมืองของบ้านของคน ปลูกอย่างไรใช้วัสดุอะไรในการปลูก แล้วพอผมได้เห็นสโมสรงาช้างผมขนลุกเลยนะ หลวงโอฬารเป็นเจ้าของสิ่งนี้คือมันรวยมากนะมันมหาอำนาจ แล้วสวยงาม มีระเบียงศิลปะแบบโคโรเนียล ยุคล่าอาณานิคมอะไรแบบนี้ คือมันทำให้ยิ่งตัวละครผมมันทำได้ลึกขึ้น คือยุคอาณานิคมนะ ทุกอย่างมันมีศิลปะ วัฒนธรรม ในความฝรั่งมันมีความจีน ในความจีนมันมีรูปไทยๆ หรือในคลับซึ่งมีนักดนตรีสากลมาเล่น ในขณะที่นอกคลับงาช้างนี้ยังเป็นลำมะนา ปี่พาทย์กัน มีเปียโน มันยิ่งเสริมสิ่งที่เราทำการบ้านมาคราวนี้พลิ้วเลย รวมไปถึงงานอาร์ตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย ไม้ถือ หมวก อะไรแบบนี้ครับ พอยิ่งฉากเยอะๆ เช่นฉากสร้างทางรถไฟ พอเราไปยืนอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่เหมือนเรา คนแต่งตัวชาวบ้านชาวช่องเรายิ่งรู้สึกว่าโอ้โหตัวละครนี้มันช่างศิวิไลซ์จริงๆ มันช่างมีอำนาจซะเหลือเกิน

Q: การทำงานร่วมกับผู้กำกับอย่างก้องเกียรติ โขมศิริ
แฟรงค์ ภคชนก์: พี่โขมหลายคนอาจจะบอกว่าเป็นผกก.เลือดสาด แต่จริงๆ ก่อนที่จะมาเจอจุดเลือดสาดมันจะมีความละเมียดละไมครับ พี่โขมเป็นคนที่ใช้ความมืดมาบีบคั้นคนดูเพื่อให้เห็นคุณค่าของแสงสว่าง แล้วมันทำให้เกิดผลของความรู้สึกทางอารมณ์ที่มันรุนแรงครับ การทำงานกับพี่โขมสนุกครับ ที่ผ่านมาเพราะว่าผมกับพี่โขมสนิทกันมาตั้งแต่เด็กน้อยตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง 14 ตุลาสงครามประชาชน ตอนนั้นพี่โขมเป็นพรอพ ทำน้ำป่าอยู่ เป็นคนเขย่าเข่งให้น้ำกลายเป็นสีแดง แล้วก็โตมาก็มีโอกาสได้เจอกัน พี่โขมทำงานด้วยหัวใจจริงๆ เขารักในการเล่าเรื่อง เขารักที่จะสร้างชิ้นงานที่เป็นมหรสพให้กับท่านผู้ชม เขาจะทุ่มเทกับทุกงานและเราก็จะสนิทกัน แล้วเราก็จะค่อยๆ เพิ่มตัวละครทีละนิด งานมันถูกเตรียมเป็นปี ตั้งแต่บทถูกสร้างขึ้นมาจนกระทั่งบทเสร็จ แล้วพอไปในกองปั๊บเราไม่ต้องกังวลเราไม่ต้องคิดเรื่องอื่นเลย มันสามารถเล่นไปได้เลย คราวนี้มันก็ยิ่งสนุก ฉากนี้เล่นแบบนี้ดีกว่า 4-5 ฉาก ทำให้ได้เห็นแง่มุมในความคิดต่างๆ ความรู้สึกต่างๆ การปะทะกับคนต่างๆ ในมิติที่แตกต่างกันหลวงโอฬารจะเจอกับน้องมาลัยก็จะทำตัวแบบหนึ่ง เจอกับอัลฮาวียะรูก็ทำตัวอีกแบบหนึ่ง เจอกับพี่สนก็ทำแบบหนึง อะไรแบบนี้ครับ

Q: ความรู้สึกที่มีต่อนักแสดงอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม
แฟรงค์ ภคชนก์:
ไม่ค่อยได้มีฉากชนๆ กับพี่อนันดาเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นพี่น้อย แต่ว่าผมชอบอยู่กองไง เราไปถ่ายกันที่ต่างจังหวัดส่วนมากจะเป็นกุยบุรี เมื่อถ่ายเสร็จปุ๊บเราก็จะอยู่ที่นั่นเพื่อรอถ่ายวันรุ่งขึ้น เขาเท่มากเลยครับ คืออนันดาไม่ได้เป็นแบบที่เราเห็นนะครับ เขาเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งไงที่เดินกุ๊กกิ๊กๆ เฮ้ยพี่ทำอะไร แต่พออยู่ในบทปุ๊บต่อให้ติดหนวดแล้วนะรูปลักษณ์เสร็จแล้วนะเขาก็ยังเป็นเด็กกุ๊กกิ๊กๆ แต่พอเขาเริ่มจะเล่นปั๊บคือเขามาเลย เฮ้ยเยี่ยมว่ะ เขามีมาดพระเอกอย่างไอ้ฉากที่เปิดเรื่องที่ยิงกันที่ปัดกระสุนปืนที่เป็นทีเซอร์ตัวแรกเลย ผมมีโอกาสได้ไปนั่งดูด้วยคือเท่ห์ พลังเขาสูงมาก เราได้เรียนรู้จากคนเก่งๆ ไม่มีข้อสงสัยกับการที่อนันดาเป็นขุนพันธ์ อนันดาเป็นคนที่ใส จิตใจดี รู้จักหาความงามของโลกใบนี้ เมื่อมันไปประกอบกับการแสดงที่เขาร่ำเรียนมาที่เขาทำความเข้าใจมาตลอดในวิชาชีพของเขา ความดีที่มีอยู่ในตัวอนันดาบวกกับความดีของขุนพันธ์ที่เป็นแบบอย่างมันจึงเชื่อมกันได้อย่างไม่เป็นปัญหา เขารู้ว่าคนเราดีไปเพื่ออะไร อนันดารู้จักและรู้สึกได้ถึงความงดงามของความดี เหมือนที่อนันดาเป็นนักแสดงแล้วก็ทำงานอย่างมีคุณภาพมาตลอด แต่ในคราวนี้เขาจะสวมบทบาทของคนที่รักในงานเหมือนกัน และงานนั้นคืองานที่ทำลาย ปราบปรามและสยบความชั่วร้าย

Q: อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย พี่น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์กับการร่วมงานกันเป็นครั้งที่หลังจากอันธพาล
แฟรงค์ ภคชนก์: พี่น้อยร่วมงานกันมาตั้งแต่อันธพาลแล้ว รักพี่เขาอยู่แล้ว พี่น้อยเป็นอาร์ททิสต์ครับ คือเขาเป็นเครื่องมือในการนำพลังจากศิลปะแล้วถ่ายทอดออกมาได้เป็นคนที่มีธรรมชาติแบบนั้นอยู่แล้ว นั่นทำให้ทุกครั้งที่พี่น้อยแสดงมันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น แน่นอนพี่น้อยต้องทำการบ้านมา แต่ว่า ณ ขณะนั้น แล้วเวลาเราเล่นอยู่กับพี่น้อย เราจะต้องเปิดสมาธิอย่างมาก และเขาก็จะรอเรานะ เขาก็จะดูว่าเราเล่นจะต้องเล่นเบอร์นี้ แต่ว่าเมื่อเราเล่นกับพี่น้อย เราเปิดรับกันสดๆ มาเบอร์นี้หรอ ฉันผลักกลับเบอร์นั้นอย่างงั้นหรอ มันเหมือนเกิดขึ้นจริงๆ เวลาเล่นกับพี่น้อยมันเหมือนเรามีเรื่องราวด้วยกันจริงๆ พี่น้อยเป็นกองกำลังของเราจริงๆ เรามีความกริ่งเกรงกันในแต่ละด้านของกันจริงๆ ถ้าหลวงโอฬารเป็นเหมือนผู้นำ อัลฮาวียะลูจะเป็นเหมือนแม่ทัพ แน่นอนผู้นำขาดแม่ทัพไม่ได้ และแม่ทัพก็ขาดผู้นำไม่ได้เช่นเดียวกัน

Q: ประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานและสิ่งที่อยากจะพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ "ขุนพันธ์"
แฟรงค์ ภคชนก์: หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การถ่ายทำหนังธรรมดา ไม่ใช่แค่หนังแอคชั่นที่จะมีบู๊เลือดสาดกันอย่างเดียว แต่มันเป็นหนังที่บอกถึงปัญหาของประเทศเราครับ บอกถึงปัญหาของความคิดของคน อย่างเช่นเมื่อก่อนที่นี่เคยมีความสุขอย่างมากก็มีแค่ความจนที่เป็นปัญหา แต่พอหลวงโอฬารเข้ามาสร้างความหรูหราอะไรต่างๆความจนไม่ได้เป็นปัญหาต่อไปละ สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือหนี้สิน ซึ่งมันเลวร้ายกว่าความจนอีก แล้วคุณก็ตกอยู่ใต้ระบบของเศรษฐกิจ อยากให้มาดูและฉุกคิดว่าที่จริงแล้วอะไรคือความสุขที่จะอยู่กับเราไปได้โดยตลอด ถ้าเกิดมองความสุขแต่เพียงเปลือกนอก ข้างหลังเปลือกนั้นก็จะไม่ได้รับความสนใจ

Q: ทำไมต้องไปดูหนังเรื่องนี้...
แฟรงค์ ภคชนก์:
เพราะมันสนุกแน่นอน เพราะว่า Conflict มันแรงมันชัด ความดีกับความเลวมาปะทะกัน ความศรัทธาในความดี พลังของจิตใจมันจะปะทะกันในเรื่องนี้ ผมเชื่ออย่างนี้ว่า เมื่อได้ดูคุณจะรู้ว่าคุณจะยืนอยู่ฝั่งไหน มันอาจจะทำให้คุณกระตุกคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นชีวิตที่เรากำลังเดินกันอยู่มันไปถูกทางแล้วเหรอ แน่นอนคนเรามีเสรีภาพแต่มันไม่ควรมาเป็นข้ออ้างในการทำชั่ว เลือกเอาคุณจะใช้เสรีภาพของคุณอย่างไร ศรัทธาในความดีแล้วชีวิตเราก็จะมีแต่สิ่งดีดี

Q: เนื่องในวันที่ 5 กรกฎาคมจะเป็นวันคล้ายวันครบรอบ 10 ปีที่ท่านขุนพันธ์เสียชีวิต อยากให้พูดอะไรถึงท่านขุนพันธ์
แฟรงค์ ภคชนก์: ถึงแม้ว่าท่านขุนพันธ์จะเสียไปแล้ว ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าคนที่ได้ศึกษาประวัติท่าน ได้อ่านเรื่องราวของท่าน หลายคนอาจจะชื่นชอบนะกับคาถาอาคมของท่าน มีฤทธิ์ปราบ เอาหัวกะโหลกมาไว้ใต้บันได คนอาจจะชื่นชอบกับสิ่งเหล่านั้น แต่ที่จริงแล้ว การที่อาคมแก่กล้าขนาดนั้น สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นมือปราบที่หนังเหนียวได้ เป็นเพราะว่าสิ่งที่ท่านศรัทธาก็คือความดีความถูกต้อง หลายคนที่บูชาท่านอยู่ห้อยท่านอยู่ ก็น่าจะสัมผัสได้ ได้ระลึกว่าคนธรรมดาถ้าอยากจะถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แล้วและให้ลูกหลานพูดถึงอย่างสมเกียรติต่อไปสิ่งที่คุณต้องทำในวันนี้คือความดี

: ขุนพันธ์, แฟรงค์ ภคชนก์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • สหมงคลฟิล์มกลางแปลง คัดหนังไทย-เทศระดับตำนาน รวมความสนุกครบรส 9 คืน 9 เรื่อง ชมฟรีที่งานเกษตรแฟร์ 2566
  • น้อย พรู ผนึกกำลังปล่อยพลังเสียงโลดแล่นผ่าน “มือปืน” เพลงประกอบภาพยนตร์ “ขุนพันธ์ 3”
  • ส่งท้ายปี 59 เคาต์ดาวน์ดูหนังข้ามปีฟรีที่ หอภาพยนตร์
  • บู๊เดือด 36 ชั่วโมง "น้อย กฤษดา" ยอมรับยากสุด เหนื่อยสุด แอคชั่นสุดท้ายเผชิญหน้าปะทะอาคม "อนันดา" ในขุนพันธ์
  • แรงที่สุด มันส์ที่สุด "ขุนพันธ์" 4 วัน สู่ 70 ล้าน
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :