เพิ่งปิดฉากลงไปเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส 2015 ซึ่งในปีนี้เป็นที่น่าภูมิใจเมื่อ "เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล" เจ้าของรางวัลปาล์มทองคำ เมื่อปี ค.ศ.2010 จากหนัง "ลุงบุญมีระลึกชาติ" ก็พาหนังเรื่องใหม่ของเขาอย่าง "รักที่ขอนแก่น" ผ่านการคัดเลือกของผู้จัดเทศกาล มาเข้าฉายในสายภาพยนตร์ที่น่าจับตามอง (Un Certain Regard) ซึ่งแม้จะพลาดรางวัลในสายดังกล่าวไป แต่หนังก็ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ต่างชาติจำนวนมาก จนได้คะแนนเป็นลำดับต้นๆ จากบรรดานักวิจารณ์ที่เข้าชมภาพยนตร์ในเทศกาล ซึ่งในภาพยนตร์จะได้พบกับนักแสดงเจ้าประจำของ เจ้ย อภิชาติพงศ์ อย่าง "ศักดา แก้วบัวดี" ซึ่งในเฟซบุ๊คส่วนตัวเขา จะได้เห็นข้อความที่กว่าจะมาเป็น นักแสดงตัวเล็กบนหนังไทย ที่มีดีกรีแสดงในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เมืองคานส์ โดยมีข้อความดังนี้

"ชีวิตเราในช่วงระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา เป็นช่วงชีวิตที่พลิกผันและมีค่าที่สุด ...

ในทุกๆเดือน พ.ค. จะมีเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ซึ่งของปีนี้ก็ได้เริ่มวันนี้แล้วเป็นวันแรก
เดือนนี้นับย้อนหลังไปเมื่อ 11 ปีก่อน (2004) Tropical Malady ของพี่เจ้ย หนังที่เราเล่นเป็นเรื่องแรกในชีวิต และทำให้เราได้มีโอกาสได้มาคานส์ครั้งแรกด้วย

และปีนี้ "รักที่ขอนแก่น" หนังเรื่องล่าสุดของพี่เจ้ย ก็ได้เข้าประกวดอีกเช่นเคย และถึงแม้เราเองจะได้บทรับเชิญเล็กๆในหนัง เราก็จะเดินทางไปร่วมงานด้วยในปีนี้ เพราะบ้านเราอยู่ไม่ใกลนักจากเทศกาล

และนี่คงอาจจะต้องเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะพี่เจ้ยได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าจะทำหนังไทยเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายเช่นกัน

ช่วงชีวิตก่อนที่จะได้มีโอกาสรู้จักกับพี่เจ้ย เราได้ผ่านอะไรต่ออะไรมามากมายเหลือเกิน หลังจากจบ ม.6 จากเมืองกาญจน์ ก็ได้เข้ามาหางานทำในกรุงเทพ เพื่อจะหาเงินเรียนต่อมหาลัย

ตั้งแต่ทำงานก่อสร้าง, เซลล์แมนเดินขายของข้างถนน, ขายพวงมาลัยตามสี่แยก,ขายตรง, สมัครไปเป็นทหารเกณฑ์, KFC, 7-11, ร้านเช่าวีดีโอซึทาย่า,เด็กโรงงานผลิตอาหารซีพี, เซลล์ขายเบอร์โทรศัพท์ของเทเลคอมเอเชีย จนกระทั่งทำงานในบาร์เกย์ และได้เจอพี่เจ้ยในที่สุด เพราะพี่เจ้ยได้พาทีมงานไปตามหานักแสดงในนั้น

หลังจากถูกชักชวนจากพี่เจ้ยให้เข้ามาลองแคสติ้งเล่นหนัง เราก็อิดออดเล่นตัวอยู่หลายวัน จนทีมงานโทรตามหลายครั้ง เพราะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่เราจะได้รับบทในหนัง จนกระทั่งทีมงานได้โทรมาอีกครั้ง เราจึงตัดสินใจว่าจะเข้าไปลองดู ซึ่งพี่เจ้ยเป็นคนที่ทำแคสติ้งเองในวันนั้น

ไม่กี่วันต่อมาจึงได้รับคำตอบว่าเราได้รับคัดเลือกให้เป็นนักแสดงนำในหนัง และเนื่องด้วยงานในกองถ่ายที่ค่อนข้างเยอะและต้องเดินทางบ่อยมาก เราจึงทิ้งชีวิตเด็กบาร์ไว้ก่อนแล้วมาทุ่มเทให้ตรงนี้ พี่เจ้ยจึงได้มอบงานชิ้นแรกให้เราคือทำแคสติ้งแทนต่อจากพี่เค้าเลย เพราะตอนนั้นยังต้องหานักแสดงคนอื่นๆด้วย

เราเก็บข้าวเก็บของจากที่พักย่านรังสิต ย้ายมาพักและอยู่กินที่บริษัท Kick The Machine คล้ายๆเป็นยามเฝ้าบริษัท แม่บ้าน คนตัดหญ้า คนเลี้ยงสุนัข (น้องก๊อตซิลล่า) และช่วงกลางวันก็จะแปลงร่างเป็นฝ่ายแคสติ้ง และทำงานร่วมกับพี่เจ้ยมาอีกหลายเรื่อง จนกระทั่งปัจจุบันนี้

10 กว่าปีที่ผ่านมา เราได้รับประสบการณ์มากมายที่หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เรียกได้ว่าพี่เจ้ยเปลี่ยนชีวิตเราให้พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะถ้าไม่ได้รู้จักกัน เราก็คงมีชีวิตแบบเดิมๆนั่นแหละ ขอบคุณพี่ชาย คนนี้มากๆจากใจ และขอบคุณป้าเจน ที่คอยชี้แนะเด็กคนนี้มาตลอด ขอบคุณทีมงานหน้าเดิมๆทุกคน แล้วเจอกันใหม่เมื่อมีโอกาสนะครับ"

ที่มา เฟซบุ๊ค sakda.kaewbuadee