ขณะให้สัมภาษณ์กับโปรดิวเซอร์ นายองซอก (Na Young-Seok) ผ่านทางช่อง YouTube "Fullmoon" ของเขา อีดงอุค (Lee Dong-Wook) ได้เปิดใจถึงช่วงชีวิตที่เคยรู้สึกตกต่ำ บนเส้นทางสายนักแสดง หลังจบซีรีส์เรื่อง Life จนคิดจะถอนตัวออกจากวงการเป็นครั้งแรก
"ผมพูดเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเลยนะ ผมตกต่ำอย่างรุนแรงหลังจากซีรีส์เรื่อง Life ตอนนั้นผมไม่ออกจากบ้านเป็นเดือนเลย" อีดงอุค เผย "ผมถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการแสดงของผม มีกระแสตอบรับในเชิงลบต่อผลงานออกมามากมาย และตัวผมก็กลายเป็นเป้าโจมตี ผมรู้สึกผิดหวังมากจนไม่อยากจะแสดงอีกต่อไป ตอนนั้นผมอายุ 37 ผมคิดจริงจังเลยนะว่าจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ"
อีดงอุค บอกว่าเขาคิดว่าความผิดหวังต่อซีรีส์เรื่องนั้นมันเกิดจากตัวเขา ทำให้เขาสงสัยในตัวเองว่าตัดสินใจถูกหรือไม่ที่เลือกก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายนี้ "ดูเหมือนว่าความเสียใจทั้งหมดเกี่ยวกับผลงานชิ้นนี้มันพุ่งตรงมาที่ผม ผมรู้สึกว่ามันน่าจะได้รับความรักและประสบความสำเร็จมากขึ้นถ้าผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน ตอนนั้นผมรู้สึกว่า 'ผมไม่ควรมาเป็นนักแสดงเลย' ผมออกจากบ้านแค่ตอนที่ไปออกกำลังกาย หลังผ่านไปสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ และก็มีความคิดในเชิงลบผุดขึ้นมามากมาย ดังนั้นผมจึงพยายามขยับร่างกาย การออกกำลังกายมันทำให้หัวของผมโล่งขึ้น"
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ อีดงอุค กลับมาตั้งหลักชีวิตได้อีกครั้งก็คือเพื่อนซี้อย่าง กงยู (Gong Yoo) "ผมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่หลังจากนั้นผมก็ดื่มด้วย ดังนั้นร่างกายของผมมันจึงไม่ดีขึ้นเลย กงยูเป็นคนที่ลากผมออกจากบ้าน เขาโทรมานัดผมออกไปตอนประมาณ 5 ทุ่ม ตอนนั้นผมก็กังวลนะว่าเขาจะคุยถึงปัญหาของผมหรือเปล่า แต่เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย แค่ได้คุยกันทุกวันก็ทำให้ผมเข้าใจว่า 'โลกความจริงของผมอยู่ตรงนี้' และผมก็ค่อย ๆ หลุดพ้นจากความรู้สึกตกต่ำนั่น"
ขณะที่แชร์เรื่องราวเส้นทางชีวิตของเขา อีดงอุค ก็ยังชื่นชมนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง จองอูซอง (Jung Woo-Sung), อีจองแจ (Lee Jung-Jae) และ อีบยองฮอน (Lee Byung-Hun) อีกด้วย "ชายเหล่านี้ที่เกิดในปี 1970 และ 1971 ยังคงก้าวไปอย่างแข็งแกร่ง ไม่มีเว้นว่าง พวกเขายังคงมีงานแน่นอย่างต่อเนื่อง ผมเองก็จะทำงานอย่างหนัก เพื่อไล่ตามพวกเขาให้ทัน"
อีดงอุค ยังเสริมอีกว่าความรู้สึกของเขามันโน้มเอียงไปทางความชื่นชมมากกว่าความอิจฉา "ผมเคยรู้สึกอิจฉานิดหน่อยตอนที่ผมยังเด็กกว่านี้ แต่มันไม่มีประโยชน์ มันเป็นเรื่องของความทะเยอทะยานซะมากกว่าความอิจฉาครับ"