ข่าว > ข่าวหนังทั้งหมด > ข่าวหนัง

บทสัมภาษณ์ อูโก เชแลง ผู้กำกับ Love at Second Sight

10 ก.ย. 2563 10:24 น. | เปิดอ่าน 1518 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

 

อูโก เชแลง กำลังจะอายุครบ 40 ปี เขาเกิดในครอบครัวศิลปิน พ่อของเขาเป็นโปรดิวเซอร์หนัง เขาเปิดบริษัททำหนังและรายการทีวีกับเพื่อนตั้งแต่อายุ 21 ปี เนื่องจากเป็นคนสนุกสนาน เขาจึงสนใจและถนัดหนังตลกเป็นพิเศษ

เขาทำหนังมาแล้ว 2 เรื่อง คือ Just Like Brothers (2012) และ Two Is a Family (2016) เคยเขียนบทหนังเรื่อง The Gilded Cage (2013) จนทำเงินถล่มทลายในยุโรป ครั้งนี้เขากลับมาอีกครั้งกับ Love at Second Sight (ชื่อฝรั่งเศสคือ Mon Inconnue) หนังที่ยังตลกอยู่เหมือนเดิม แต่ละมุนกว่าทุก ๆ ครั้ง

 

 

คุณนึกอย่างไรถึงมาทำหนังโรแมนติกคอมเมดี้

หลัก ๆ มันมาจากคำถามส่วนตัว ที่ผมชอบถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า ชีวิตผมจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าผมไม่ได้เจอคนรักของผม ชีวิตของคนเราจะเป็นอย่างที่เป็นทุกวันนี้หรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้เจอความรักกับคน ๆ นี้ ปกติแล้วผมมักจะมองทุกอย่างเป็นเรื่องตลก ผมถนัดทำหนังตลก แต่ด้วยคำถามนี้ มันทำให้ผมสามารถเข้าไปสำรวจความรักในแง่มุมที่ลึกซึ้งขึ้น ผมอยากทดลองทำหนังรักที่มีอารมณ์ขันผสมผสานกันไปอย่างกลมกลืน

แสดงว่ามาจากประสบการณ์ส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง

ผมมักถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าชีวิตของคนเราคืออะไร อะไรชักนำมาให้ผมได้เจอกับคนรักของผม และถ้าผมไม่ได้เจอเธอ ผมจะทำความฝันสำเร็จไหม ผมจะได้กลายมาเป็นคนทำหนังอย่างทุกวันนี้หรือเปล่า ผมว่าเราทุกคนก็เคยถามคำถามแบบนี้กับตัวเอง ว่าความรักที่เราเจอทำให้เรากลายเป็นคนอย่างไรในทุกวันนี้ เป็นคำถามสากลที่ไม่มีคำตอบแน่ชัด เรามักสงสัยว่า ชีวิตเราจะดำเนินไปทางไหนนะ ถ้าตอนนั้นเราตัดสินใจเลือกอีกทาง ผมว่าหนังเป็นสื่อพิเศษ ที่เราสามารถเอาคำถามเหล่านั้นมาทดลองเล่นได้

คุณช่วยขยายความหน่อย

มีหนังหลาย ๆ เรื่องเลยที่พูดถึง ความหมายของชีวิต พูดถึงโชคชะตา และทางที่คนเราเลือกเดิน ทุกคนคงไม่ลืมหนังคลาสสิคอย่าง It’s a Wonderful Life ของแฟรงค์ คาปรา ที่พูดถึงความสำคัญของชีวิตคนเราที่ส่งผลต่อคนรอบข้าง หรืออย่าง Groudhog Day ซึ่งเป็นหนังในดวงใจตลอดกาลของผม ผมชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ จนต้องตั้งชื่อพระเอกใน Love at Second Sight ว่า ราฟาเอล รามิสส์ เพื่อเป็นการคารวะแฮโรลด์ รามิส (ผู้กำกับ Groudhog Day) ตอนผมเขียนบทหนังเรื่องนี้ ผมยังนึกถึงหนังอีกหลายเรื่อง เช่น The Family Man (หนังปี 2000 ของผกก.เบรตต์ แรตเนอร์) หรืออย่าง Her หรือ Eternal Sunshine of a Spotless Mind  ผมไม่ได้เป็นคนต่อต้านหนังโรแมนติกคอมเมดี้เลย และผมก็ชอบหนังของริชาร์ด เคอร์ติสอย่าง Notting Hill และ Love Actually ด้วย

 

 

ถึงแม้คนฝรั่งเศสจะมองว่าหนังแบบนี้ เป็นวัฒนธรรมพวกแองโกลแซ็กซอน (คนอังกฤษและหมายรวมถึงคนอเมริกัน) นะเหรอ

ใช่ ก็เพราะหนังแนวนี้กำเนิดจากที่นั่น และพวกเขาก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก หนังฝรั่งเศสน้อยเรื่องมากที่จะทำแบบนั้นได้ ผมเดาว่า คงเป็นเพราะวัฒนธรรมฝรั่งเศสที่นิยมชมชอบการเหน็บแนม ความเป็นคนช่างวิจารณ์ที่ฝังรากลึก ทำให้พวกเราไม่มีแง่มุมที่มันพาฝัน หนังตลกของเรา มันก็ตลกเสียดสีมาก ส่วนหนังโรแมนติกของเราก็ลึกซึ้งละเอียดอ่อน แต่คนฝรั่งเศสไม่ค่อยเอาหนังสองแนวมาผสมเข้าด้วยกันเท่าไหร่ มันอาจจะมีหนังอย่าง Love Me If You Dare (2003) แต่นาน ๆ จะมีมาสักที

แล้วคุณจะรักษาสมดุลของสองอย่างนี้ได้อย่างไร

ความท้าทายของผมคือ ผมอยากให้คนดูรู้สึกหัวเราะได้พร้อม ๆ กับกำลังเสียน้ำตา เอาเข้าจริง ผมไม่เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า ผมต้องการให้คนดูรู้สึกอย่างไรกันแน่ เป้าหมายของผมก็คือ ผมมีเรื่องที่จะเล่า ผมต้องเล่าเรื่องให้ได้ก่อน แล้วอารมณ์จะตามมาหลังจากนั้น

 

 

แต่การทำหนังโรแมนติกคอมเมดี้ ต้องอาศัยทักษะอย่างมากเลย

ใช่ เราต้องได้นักแสดงที่เล่นดีมาก ๆ ด้วย ต้องเชื่อในสิ่งที่เขากำลังเจออยู่ แม้ว่ามันจะดูไม่จริงเลยก็ตาม อย่างเช่นการไปอยู่ในโลกคู่ขนาน ผมคิดว่านี่คือจุดที่ผมต้องหาสมดุลให้เจอมั้ง ในขณะที่พล็อตมันต้องทำให้คนดูเซอร์ไพรส์อยู่เรื่อย ๆ นั้น คุณต้องทำให้คนดูเชื่อเรื่องโม้ ๆ นั้นให้ได้ด้วย

คุณคัดเลือกนักแสดงได้ดีเยี่ยมมาก ๆ

ผมโชคดีที่เราได้ ฟรองซัวส์ ซีวิล เขาเป็นพระเอกที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ แต่มีเสน่ห์เวลาเขาอยู่ในบท เขาทำให้เรารู้สึกหมั่นไส้และเอาใจช่วย ผมคิดว่าสิ่งสำคัญของหนังโรแมนติกคอมเมดี้คือ เคมีระหว่างนักแสดง ฟรองซัวส์ ซีวิล และโจเซฟีน ชาปี เป็นคู่พระนางที่เล่นได้เข้าขากันมาก ผมคิดว่าคนดูจะต้องตกหลุมรัก ส่วน เบนจามิน ลาแวร์เนอ เป็นนักแสดงตลกที่เปี่ยมพรสวรรค์ บังเอิญว่าทั้งซีวิลและลาแวร์เนอ เป็นเพื่อนกันในชีวิตจริง เวลาพวกเขาเข้าฉากด้วยกันมันจึงดูลื่นไหลมาก ในฐานะผู้กำกับ ผมมีความสุขมาก ๆ เวลาได้ร่วมงานกับนักแสดงเก่ง ๆ

หนังของคุณดูเหมือนจะสรุปกับคนดูว่า ชีวิตคนเราถูกกำหนดไว้แล้ว

ใช่เลย หนังเรื่องนี้บอกกันตรง ๆ ว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกช้อยส์ไหนให้กับชีวิต คุณก็จะได้เจอกับใครอีกคนเสมอ ไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ตาม ผมเชื่อว่า เราทุกคนถูกกำหนดมาให้ได้เจอกัน มันขึ้นอยู่กับตัวคุณนั่นแหละ ว่าจะใช้โอกาสนั้นอย่างไร

 

 

Love at second sight 
24 กันยายน ในโรงภาพยนตร์

 

 

: Love at Second Sight, อูโก เชแลง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • Love at the Second Sight โรแมนติกสุดเซอร์ไพร์สแห่งปี สื่อนอกเทคะแนนยกให้นี่คือหนังรักฟิลกู๊ดที่ดีที่สุด
  • พูดคุยกับผู้กำกับ อูโก เชแลง ก่อนไปชม Love at Second Sight เร็ว ๆ นี้ที่ House Samyan เท่านั้น
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :