ข่าว > ข่าวสัพเพเหระทั้งหมด > Webmaster Talk

เปิดประวัติครอบครัววอร์เรน กับ 5 คดีสยองของสองสามี-ภรรยาแห่งจักรวาลคนเรียกผี

3 ก.ค. 2562 17:42 น. | เปิดอ่าน 1565 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

          นับเป็นจักรวาลภาพยนตร์ผีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเลยก็ว่าได้ สำหรับจักรวาลเดอะคอนเจอริ่ง ที่อิงจากเรื่องจริงของเอ็ด วอร์เรน และลอร์เรน วอร์เรน ที่คดีปราบภูติผีของพวกเขานั้นกลายเป็นตำนานโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งล่าสุดจักรวาลนี้ได้ปลุกชีพตุ๊กตาผีแอนนาเบลล์ขึ้นมาอีกครั้งใน “Annabelle Comes Home แอนนาเบลล์ ตุ๊กตาผีกลับบ้าน” ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ตอนนี้ และเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชม เราเลยขอชวนมาทำความรู้จักสองสามี-ภรรยานักปีศาจวิทยา พร้อม 5 คดีสยองชื่อดังที่พวกเขาเผชิญมาในอดีตกัน

 

จุดเริ่มต้นสู่เส้นทางเผชิญเรื่องเหนือธรรมชาติ

          เอ็ด วอร์เรน เติบโตมาในบ้านที่เขาเชื่อว่ามีผีสิงอยู่ หลังจากเกิดเหตุการณ์ขนหัวลุกในคืนหนึ่ง เมื่อเอ็ดได้ยินเสียงประตูตู้เสื้อผ้าเปิดเองหลายครั้ง เขาจึงมองตามไปแล้วพบว่ามีเงามืดปรากฏอยู่ในนั้น ก่อนมันจะกลายเป็นแสงสว่างมีรูปร่างคล้ายผีเสื้อกลางคืน แล้วเปลี่ยนเป็นร่างกลมมนคล้ายลูกบอล แต่พอเพ่งมองดี ๆ แล้วเขากลับเห็นใบหน้าของหญิงชราที่ไม่โสภาเท่าไรนัก ลูกไฟกลมนั้นค่อย ๆ เคลื่อนที่มาหาเขาในห้องนอน พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังฟังชัดและลมหายใจหนักหน่วง บรรยากาศในห้องก็เย็นยะเยือกลงเรื่อย ๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติด้วยตัวเอง จนกระทั่งมาพบรักกับลอร์เรนตอนอายุ 16 ปี และแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันหลังจากนั้น

          เอ็ด เป็นนายตำรวจเก่าและอดีตทหารผู้รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนลอร์เรนนั้นเป็นนักจิตวิทยาเจ้าของสัมผัสพิเศษที่เดินทางไปสำรวจบ้านผีสิงตามคำชวนของสามี ก่อนเดินสายเข้าสู่เส้นทางนักปีศาจวิทยาเต็มตัว พร้อมรับจ็อบบรรยายเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านี้ จนมีลูกศิษย์เป็นนักปีศาจวิทยารุ่นหลังคือ เดฟ คอนซิไดน์, ลู เจ็นไทน์ และหลานของพวกเขา จอห์น แซฟฟิส

          ในปี 1952 สองสามี-ภรรยาวอร์เรนก่อตั้งสมาคมวิจัยด้านวิญญาณแห่งนิวอิงแลนด์ (NESPR: New England Society for Psychic Research) ซึ่งเป็นองค์กรนักล่าท้าผีที่ใหญ่ที่สุดในนิวอิงแลนด์ เดินทางทำคดีภูติผีทั่วประเทศหลายร้อยคดี ร่วมมือกับสมาชิกพันธมิตรหลากหลายอาชีพ อย่างเช่น ตำรวจ, นักวิจัย, แพทย์, นักศึกษา รวมถึงบาทหลวง หลังจากนั้นสองสามี-ภรรยาตัดสินใจใช้ชีวิตเกษียณอย่างสงบสุขด้วยกัน แล้วส่งไม้ต่อภารกิจปราบผีให้กับโทนี่ สเปียร่า ลูกชายบุญธรรมของเขาที่ปัจจุบันเป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์เก็บของอาถรรพ์วอร์เรน 

- เอ็ด วอร์เรน จากโลกไปในวันที่ 23 สิงหาคม 2006 (อายุ 79 ปี) 
- ลอร์เรน วอร์เรน จากโลกนี้ไปในวันที่ 18 เมษายน 2019 (อายุ 92 ปี)

          เรื่องราวของพวกเขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งบนจอยักษ์ด้วยฝีมือของเจมส์ วาน ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่ริเริ่มสร้างภาพยนตร์ The Conjuring (2013) ทำให้สองสามี-ภรรยาวอร์เรนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง นำไปสู่การขยายจักรวาลเดอะ คอนเจอริ่ง จักรวาลภาพยนตร์ผีที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งภาพยนตร์ส่วนใหญ่นั้นอิงมาจากคดีสืบสวนวิญญาณที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของสองสามี-ภรรยาวอร์เรน

 

คดีสยองที่ 1: คดีฆาตกรรมปีศาจสั่งตาย

          คดีฆาตกรรมสยองโด่งดังในชื่อ “ปีศาจสั่งให้ผมทำ (Devil Made Me Do It)” ที่เจมส์ วานออกมาแง้มคำใบ้ล่าสุดว่าจะเป็นแก่นเรื่องหลักของ “The Conjuring 3” ที่ทุกคนรอคอย คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับ อาร์นี่ ไชแอนน์ จอห์นสัน ชายหนุ่มวัย 19 ปี ที่กล่าวอ้างว่าเขาลงมือคร่าชีวิตคนตามคำสั่งที่ได้รับมาจากปีศาจร้าย

          เริ่มต้นจากวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1981 ณ เมืองบรู๊กลิน รัฐคอนเนคทิคัต เกิดเหตุฆาตกรรม อลัน โบโน่ เจ้าของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง จับกุมคนร้ายได้คือ อาร์นี่ ไชแอนน์ จอห์นสัน น่าแปลกที่อาร์นี่ไม่มีท่าทางรู้สึกผิดหรือสำนึกเลยสักนิด แถมยังอ้างว่าตัวเขานั้นบริสุทธิ์ ที่พลั้งมือลงไปเป็นเพราะถูกปีศาจควบคุมจิตใจ นับเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่คนร้ายอ้างเรื่องเหนือธรรมชาติแด่ศาลที่เคารพ และมีหลักฐานมารองรับด้วยความร่วมมือของสองสามี-ภรรยาวอร์เรน จากการสืบสวนพบว่าจริง ๆ แล้วเหตุประหลาดเกิดขึ้นเพราะอาร์นี่พูดจายั่วยุปีศาจในพิธีขับไล่วิญญาณออกจาก เดวิด แกลตเซล น้องชายวัย 11 ขวบ ของเด็บบี้ แกลตเซล คู่หมั้นสาวของอาร์นี่ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นโดยมีสองสามี-ภรรยาวอร์เรนเป็นพยานอยู่ในพิธีด้วยเช่นกัน  

          เด็บบี้เล่าย้อนไปยังจุดเริ่มต้นก่อนพิธีไล่วิญญาณในครั้งนั้นว่า เดวิดมีอาการคุ้มคลั่ง ทั้งเตะ ต่อย ถ่มน้ำลาย สบถคำหยาบคายมากมาย มักถูกบีบคอด้วยมือที่ไม่มีใครมองเห็น สังเกตได้จากท่าทางดิ้นรนเอาตัวรอด ซึ่งพลังลึกลับนั้นแข็งแกร่งพอที่จะเหวี่ยงเด็กน้อยไปมาอย่างกับตุ๊กตา นอกจากนี้ จูดี้ แม่ของเดวิดเล่าเสริมด้วยว่า เดวิดมักตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วกรีดร้องอย่างหวาดกลัว เพราะมองเห็นสัตว์ประหลาดร่างใหญ่ ดวงตาสีดำสนิท ใบหน้าเรียวยาวคล้ายสัตว์ หูแหลม มีเขางอก และกีบเท้า จ้องมองแล้วข่มขู่ว่า “ระวังตัวไว้ให้ดี” โดยจูดี้ยืนยันว่าเดวิดไม่เคยดูหนังผี และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการโกหกคืออะไร

          เมื่อเกิดเหตุร้ายกับน้องชาย เด็บบี้ขอร้องให้อาร์นี่ แฟนหนุ่มของเธอมาพักอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อน คอยระวังเผื่อมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น แต่นั่นกลับทำให้เรื่องราวแย่ลงไปอีกหลายเท่าตัว เดวิดเริ่มถูกทำร้ายจนมีรอยช้ำและรอยขีดข่วนทั่วตัว เวลานอนหลับเขามักจะได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้นบนห้องใต้หลังคา แม้แต่ตอนตื่นเต็มตาเดวิดมักเห็นชายสัตว์ประหลาด รูปร่างเหมือนชายชรามีหนวดขาว แต่งตัวด้วยเสื้อสักหลาดและกางเกงยีนส์บ่อยครั้ง ครอบครัวติดต่อขอความช่วยเหลือจากโบสถ์ ให้บาทหลวงมาทำพิธีพรมน้ำมนต์รอบตัวบ้าน แต่นอกจากสัตว์ประหลาดจะไม่สะเทือนแล้ว ยังทำให้มันเกรี้ยวกราดมากขึ้นไปอีก

          จากเสียงแผ่วกลายเป็นเสียงตะโกนก้อง จากภาพลางกลายเป็นเห็นเต็มลูกกะตา เดวิดเริ่มทำตัวแปลกไปแบบกู่ไม่กลับ จู่ ๆ ก็พูดบทสวดในไบเบิลออกมาด้วยน้ำเสียงหลากหลายโทนเสียง เรียกว่าไม่ซ้ำกันเลยสักครั้ง คนในครอบครัวเองเริ่มตัดสินใจจัดเวรเฝ้ายามเดวิดไม่ให้คลาดสายตา เพราะเดวิดมักตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการชักอย่างรุนแรงจนอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต จนกระทั่งสองสามี-ภรรยาวอร์เรนเดินทางมาช่วยเหลือในที่สุด

          ลอร์เรนเล่าว่า ตอนที่เอ็ดพูดคุยกับเดวิด เธอเห็นหมอกดำมืดวนเวียนอยู่ข้างกายของเด็กน้อย เธอจึงรู้ทันทีว่าสิ่งที่กำลังรับมืออยู่คือพลังงานร้าย วินาทีหลังจากนั้นเดวิดร้องดังลั่นบอกว่าถูกบีบคออีกแล้ว! เมื่อทุกอย่างสงบเดวิดมีอาการสำลักพร้อมปรากฏรอยแดงขึ้นตามลำคอ ในตอนนั้นเขาบอกว่ารู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง อีกด้านหนึ่งครอบครัวของเดวิดขอคำปรึกษาจากจิตแพทย์ ผลออกมาว่าเดวิดเป็นปกติดี แค่มีพัฒนาการการเติบโตช้าเท่านั้นเอง แต่สองสามี-ภรรยาวอร์เรนยืนยันว่านี่คืออาการของคนถูกปีศาจร้ายสิงแน่นอน

          เอ็ดและลอร์เรนร่วมมือกับกลุ่มบาทหลวงทำพิธีขับไล่วิญญาณ พวกเขาเล่าว่าตัวเดวิดลอยขึ้นจากพื้น สบถคำหยาบ หยุดหายใจเป็นระยะ รวมถึงพูดประโยคทำนายอนาคตไว้ด้วยว่าฆาตกรอาร์นี่จะรับคำสารภาพผิดทุกประการ แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร ผู้ทำพิธีทุกคนรู้ว่ามีปีศาจทั้งหมด 43 ตนสิงอยู่ในตัวเดวิด พวกเขาสั่งให้ทุกตัวขานชื่อของตัวเองออกมา น่าประหลาดใจที่เด็กน้อยอายุเพียง 11 ขวบสามารถบอกชื่อยาก ๆ ของปีศาจได้ครบหมดทั้ง 43 ตัว และขณะทุกอย่างกำลังไปได้สวยจู่ ๆ อาร์นี่ก็พูดยุแยงล้อเลียนเหล่าปีศาจ เป็นเหตุให้เขากลายเป็นเป้าหมายใหม่ทันที อาร์นี่มีท่าทางแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังพูดกับเดวิดด้วยว่า “เอาตัวฉันไป แล้วปล่อยเพื่อนตัวน้อยของฉันเถอะ”

          จากนั้นร่างกายของเดวิดและอาร์นี่ทรุดหนักลงทันที เด็บบี้ตัดสินใจย้ายออกจากบ้านเดิม แล้วเช่าบ้านใหม่ใกล้ ๆ ที่ทำงาน อาร์นี่เริ่มมีท่าทางประหลาดเหมือนที่เดวิดเคยเป็น ทั้งชอบนั่งเหม่อ ชอบส่งเสียงขู่คล้ายสัตว์ แล้วเกิดภาพหลอนก่อนจะกลับสู่สภาพปกติโดยจำเรื่องราวแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย ขณะนั้นเด็บบี้รับจ้างตัดขนให้น้องหมาของอลัน โบโน่เป็นประจำ พวกเขาสนิทสนมกันพอสมควร จนกระทั่งวันเกิดเหตุฆาตกรรมสุดสยอง

          ในวันนั้นอาร์นี่ลาป่วยแล้วมาหาเด็บบี้ที่ร้านตัดขนสัตว์ พวกเขากินข้าวเที่ยงด้วยกันกับโบโน่ ดื่มแอลกอฮอล์กันอย่างหนักหน่วง ก่อนเด็บบี้จะพาน้องสาวของเธอไปซื้อพิซซ่า พอกลับมาก็เจอโบโน่เมาไม่ได้สติ เขาจับตัวน้องสาวของเด็บบี้ไว้แล้วไม่ยอมปล่อยตัวเด็กน้อยไป เด็บบี้พยายามควบคุมสถานการณ์บอกให้โบโน่ใจเย็น แต่แล้วอาร์นี่ก็เริ่มส่งเสียงขู่คล้ายสัตว์ออกมาอีกครั้ง เขาคว้ามีดยาว 5 นิ้วแทงเข้าไปที่ลำตัวของโบโน่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนโบโน่ขาดใจตายในที่สุด จากการชันสูตรพบว่า โบโน่มีแผลถูกแทงขนาดใหญ่บริเวณหน้าอกและใต้ลิ้นปี่ทั้งหมด 5 แผลด้วยกัน

          หลังเกิดเหตุลอร์เรนยืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่า เธอรู้สึกว่าอาร์นี่ถูกปีศาจสิงตอนลงมือฆาตกรรมอย่างแน่นอน ทนายของอาร์นี่เองก็ลงทุนเดินทางไปยังลอนดอนเพื่อหาหลักฐานของคดีฆาตกรรมที่เกิดจากปีศาจคล้ายกัน สำหรับนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงเพิ่มเติม แต่ท้ายที่สุดหลังพิจารณาคดีกว่า 15 ชั่วโมง ศาลก็ตัดสินจำคุกอาร์นี่ข้อหาฆ่าคนตาย โดยลดโทษจำคุกเหลือ 5 ปีเพราะสารภาพผิด (ตามคำทำนายที่เดวิดเคยว่าไว้) โดยคณะลูกขุนให้เหตุผลว่าหลักฐานทั้งหมดไม่เป็นวิทยาศาสตร์มากพอ

          เรื่องราวของเดวิดและอาร์นี่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือของ เจอรัลด์ บริตเทิล นักเขียนที่ฝากฝีมือไว้ใน The Devil in Connecticut โดยมีลอร์เรนเป็นที่ปรึกษา แต่ครอบครัวของเดวิดไม่พอใจ พวกเขาฟ้องนักเขียน สำนักพิมพ์ และลอร์เรนทันทีด้วยข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งยังอ้างว่าลอร์เรนใส่สีตีไข่เรื่องเว่อร์เกินจริงในหนังสือเล่มนั้น ด้านลอร์เรนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและบอกว่าเธอยกรายได้หนังสือกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 60,000 บาท) ให้กับครอบครัวของเดวิดด้วย แต่อาร์นี่และเด็บบี้ที่แต่งงานกันหลังอาร์นี่พ้นโทษ สนับสนุนและยืนยันว่าลอร์เรนพูดความจริง

 

คดีสยองที่ 2: มนุษย์หมาป่าแห่งทะเลตอนใต้

          นอกจากภูติผีวิญญาณ สองสามี-ภรรยาวอร์เรนนั้นเคยรับมือกับอมนุษย์อย่าง มนุษย์หมาป่า มาแล้วเช่นกัน โดยทั้งสองเขียนบันทึกไว้ในหนังสือ “Werewolf: The True Story of Demonic Possession” ซึ่งก่อนหน้านี้ลือกันว่าเป็นเรื่องราวที่จะบอกเล่าใน “The Conjuring 3” เริ่มต้นจากชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า บิลล์ แรมซีย์ เชื่อว่าตัวเขานั้นถูกสิงโดยปีศาจที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับหมาป่า ที่หลอกหลอนเข้ามาตั้งแต่ยังเด็ก และส่งผลให้เขามีนิสัยป่าเถื่อนตอนโตจนเริ่มทำร้ายผู้คนบาดเจ็บ

          บิล แรมซีย์ เกิดและโตในชุมชนเอสเซ็กซ์ ชนบทชายฝั่งทะเลตอนใต้ในเมืองเซาธ์เทนด์ ออน ซี ประเทศอังกฤษ จนกระทั่งปี 1952 เมื่อครั้งบิลล์อายุเพียง 9 ขวบ เขาออกไปเล่นในสวนหลังบ้างเหมือนเด็กทั่วไป แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมร่างกาย พร้อมกลิ่นเหม็นเน่าลอยตลบอบอวลจนเขาอาเจียนออกมา ในหัวของเขาที่กำลังคุ้มคลั่งตอนนั้นมีแต่ความคิดให้วิ่งลงไปในทะเลแล้วแปลงร่างเป็นหมาป่าซะ แต่เขาทำได้เพียงแค่ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือให้พาเขาออกไปจากสิ่งประหลาดที่คุกคามเขาเสียที

          นับตั้งแต่นั้นบิลล์พบว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าประหลาด เขากลายเป็นเด็ก 9 ขวบที่สามารถขุดรั้วบ้านที่ฝังลึกกับพื้นดินขึ้นมาง่าย ๆ ด้วยมือเปล่าแล้วเหวี่ยงเล่นไปมาเหมือนกระบอง แถมยังคว้าตาข่ายลวดมาเคี้ยวเล่นอย่างสนุกสนาน พ่อกับแม่ของบิลล์เห็นดังนั้นก็ตกใจขนาดรีบวิ่งหนีเข้าไปหลบในบ้านเพราะกลัวลูกชายตัวเองจะทำร้าย แล้วทิ้งบิลล์ไว้ข้างนอกคนเดียวจนกว่าเขาจะเลิกส่งเสียงขู่ และบรรยากาศเย็นยะเยือกทั้งหมดจะหายไป ซึ่งนั่นคือเรื่องประหลาดครั้งแรกในชีวิตของบิลล์

          15 ปีถัดมาบิลล์ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มธรรมดา ๆ ที่ได้แต่งงาน มีภรรยาและลูกน้อยถึงสามคน ทว่าสองปีแรกของชีวิตแต่งงานเขากลับถูกหลอกหลอนด้วยฝันร้ายเกือบทุกวัน ในฝันนั้นเขามักจะเดินตามหลังภรรยาของเขา ที่จู่ ๆ ก็หันมาหาแล้วกรีดร้องพร้อมวิ่งหนีเขาไปด้วยความกลัวสุดขีด เขามักจะตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมหยาดเหงื่อเย็นยะเยือกเต็มตัว รวมถึงรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจทุกครั้ง จนกระทั่งปี 1967 ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขามาตลอดจึงงบลง แต่แล้ว 18 เดือนถัดมา บิลล์ตื่นขึ้นกลางดึกอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ป่าหอบหายใจภายในห้องนอน สุดท้ายบิลล์พบว่าเสียงนั้นมาจากตัวเขาเอง นับเป็นเรื่องประหลาดครั้งที่สองในชีวิตของบิลล์

          เหตุประหลาดเกิดวนลูปเช่นเดิมทุก ๆ 15 ปี และในปี 1983 บิลล์ออกไปเที่ยวผับกับเพื่อนอย่างที่เคย หลังดื่มแอลกอฮอลล์ไปสักพัก บิลล์เริ่มรู้สึกถึงไอเย็นแบบในอดีต เขารีบขอตัวไปห้องน้ำก่อนพบว่ามีหมาป่าจ้องมองเขาอยู่จากข้างหลัง ซึ่งเป็นลางบอกเหตุร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น! เพราะระหว่างทางกลับบ้านจู่ ๆ บิลล์ก็เริ่มเห่าหอนขึ้นมา เป็นเวลาเดียวกับที่มือของเขาบิดกลายเป็นกรงเล็บคม บิลล์พุ่งทำร้ายและพยายามกัดขาเพื่อนร่วมทางของเขาทันที โชคดีที่คนขับรถมีสติพอที่จะหยุดรถแล้วจับตัวบิลล์ออกมา ซึ่งก็ใช้เวลานานหลายนาที

          ไม่ปล่อยให้รอนานหลายปี ในปี 1983 ปีเดิมช่วงเวลาก่อนคริสมาสต์ไม่นาน บิลล์มีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง จนกลัวว่าตัวเองจะหัวใจวายเฉียบพลัน จึงรีบไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลทันที แต่ระหว่างทางไปวัดความดัน เขากลับฝังคมเขี้ยวลงบนแขนนางพยาบาลผู้โชคร้ายอย่างแรง พยาบาลสาวตกใจพร้อมวิ่งหนีแล้วตะโกนบอกทุกคนว่าบิลล์ถูกปีศาจสิง ในช่วงเวลาเดียวกันร่างกลายของบิลล์เริ่มบิดผิดรูปไปจากเดิม หลังของเขาค่อย ๆ โก่งค่อมขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงมือทั้งสองข้างนั้นมีเล็บแหลมงอกงุ้มออกมาคล้ายกรงเล็บสัตว์ วินาทีนั้นบิลล์กลายเป็นสัตว์กระหายเลือดโดยสมบูรณ์ ต้องอาศัยแรงของชายฉกรรจ์หลายคนถึงจะล้มบิลล์ลงได้ แต่บิลล์ก็ทำลายกุญแจมือของตำรวจที่ล็อกเขาไว้จนกระจุย 

          ร่างกายของบิลล์กลับมาเป็นปกติในเช้าวันถัดมา เขายินดีอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และอาสาให้ร่างกายของตัวเองเป็นกรณีศึกษาหาสาเหตุประหลาดต่อไป เขาวนเวียนเข้าออกโรงพยาบาลร่วม 2 เดือน จนเดือนมกราคม ปี 1984 หลังจากบิลล์เยี่ยมแม่ที่บ้าน เขาก็รู้สึกถึงอาการประหลาดบนร่างกายอีกครั้ง บิลล์รีบมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลเดิมแต่ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเขากลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าอีกครั้งแล้วทำร้ายพยาบาลสาวผู้โชคร้ายคนเดิม นายตำรวจ 4 คนที่เข้ามาจับตัวบิลล์เองก็โดนทำร้ายจนได้แผลสาหัส ทำเอาต้องนอนโรงพยาลไป 4 วันเต็ม ๆ บิลล์ถูกจับตัวไปยังสถานีตำรวจ แล้วตรวจสอบร่างกายรวมถึงอาการทางจิต แต่ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติดี บิลล์จึงได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านในไม่กี่วันถัดมา

          เหตุรุนแรงเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 1987 หลังจากบิลล์ทำหน้าที่พลเมืองดีช่วยพาตัวโสเภณีเด็กคนหนึ่งมายังสถานีตำรวจแห่งเดิม ร่างกายของเขาเกิดคุ้มคลั่งขึ้นอีกครั้ง เริ่มจากอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง ตามมาด้วยหลังโก่งค่อม และกรงเล็บงุ้ม นายตำรวจที่กำลังจะพาบิลล์ไปเป็นพยานให้ปากคำ กลับถูกทำร้ายเกือบปางตาย บิลล์คลั่งกว่าที่เคยเป็นมาขนาดต้องใช้กำลังตำรวจเกือบทั้งโรงพักมาช่วยกันจับตัวไว้ แล้วฉีดยาสลบถึงสองเข็มด้วยกันถึงจะสงบลง บิลล์ถูกส่งไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดตลอด 10 วัน แต่ผล MRI คลื่นสมอง และผลตรวจทุกสิ่งอย่างกลับไม่สามารถระบุได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับบิลล์กันแน่ และแน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเลยสักคน

          ในที่สุดจุดเปลี่ยนชีวิตของบิลล์ก็มาถึง เมื่อนักปีศาจวิทยาเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรนเดินทางมายังเกาะอังกฤษ แล้วเจอข่าวเรื่องราวของบิลล์จากรายการโทรทัศน์ ลอร์เรนรู้ทันทีว่าบิลล์ถูกปีศาจสิงจึงเดินทางไปยังเมืองเซาธ์เทนด์ ออน ซี ทันที เธอโน้มน้าวบิลล์ และขออนุญาตครอบครัวของบิลล์พาตัวเขาพร้อมภรรยาไปรักษาที่โบสถ์ ณ รัฐคอนเนคทิคัต สหรัฐอเมริกา ภายใต้การดูแลของบาทหลวงโรเบิร์ต แม็คเคนนา ในปี 1989 

          คืนก่อนพิธีชำระล้าง บิลล์ตื่นขึ้นมาทำร้ายภรรยาข้างกายของเขากลางดึก บิลล์ถูกคุมตัวโดยบาทหลวงทันที ก่อนพิธีสวดขับไล่ปีศาจจดำเนินยาวนานกว่าชั่วโมงครึ่ง แต่ก็ยังไม่เป็นผล บิลล์เปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ประหลาดมากหน้าหลายตา ใบหน้าของบิลล์เบี้ยวบูดขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับกรงเล็บที่งอกแหลมออกมา บาทหลวงแม็คเคนนายังลงร่ายคำสวดต่อไป จนกระทั่งพลังงานรูปร่างคล้ายหมาป่าพุ่งเข้าหาบาทหลวงแม็คเคนนา แล้วสลายหายไปด้วยดี แน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในม้วนฟิล์ม

          บิลล์ปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งสุดท้ายในปี 1992 เพื่อให้สัมภษณ์อัปเดตอาการของตัวเองในรายการหนึ่ง เมืองเซาธ์เทนด์ ออน ซีชนบทเล็ก ๆ ริมหาดกลับมาสงบสุขอีกครั้ง และไม่เคยมีข่าวว่าใครถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายอีกเลยจนปัจจุบัน

 

คดีสยองที่ 3: ปีศาจแห่งรัฐคอนเนคทิคัต

          เรื่องราวบ้านผีสิงสุดสยองในรัฐคอนเนคทิคัตที่ถูกหยิบมาเล่าบนหน้ากระดาษนวนิยาย รวมถึงบนจอภาพยนตร์เรื่อง The Haunting in Connecticut (2009) กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานบ้านผีสิงที่เฮี้ยนที่สุดในสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้

          ในปี 1986 คาร์เมนและอัล สเนเดกเกอร์ ย้ายบ้านมายังเมืองเซาธิงตัน รัฐคอนเนคทิคัต เพราะอยากอยู่ใกล้โรงพยาบาลที่พวกเขารักษาอาการเจ็บป่วยของลูกชายคนโตเป็นประจำ รวมถึงการเงินที่ติดขัดทำให้พวกเขาได้บ้านเล็ก ๆ แต่สภาพค่อนข้างดีหลังนี้มาครอง ซึ่งก็มีพื้นที่เพียงพอให้สองสามี-ภรรยาสเนเดเกอร์ รวมถึงลูก ๆ ทั้งสามและหลานสาวอีกหนึ่งอยู่กันได้สบาย ๆ แต่วันแรกที่ย้ายเข้าอัลก็ค้นพบว่า ห้องใต้ดินของบ้านใหม่ของพวกเขาเต็มไปด้วยโต๊ะเหล็กและเครื่องมือผ่าตัด คล้ายกับโต๊ะเหล็กสำหรับวางศพในโรงพยาบาล วินาทีนั้นอัลรู้ทันทีว่าบ้านหลังนี้เคยใช้สำหรับทำพิธีศพมาก่อนแน่นอน แต่ห้องใต้ดินก็เป็นที่เดียวที่มีพื้นที่พอสำหรับใช้เป็นห้องนอนให้กับลูกชายทั้งสองของพวกเขา

          หลังจากนั้นไม่นาน คาร์เมนเริ่มพบกับเหตุการณ์ประหลาดมากมาย ทั้งเห็นสิ่งของหายวับไปต่อหน้าต่อตา ลูก ๆ ก็เริ่มงอแงเพราะเห็นคนแปลกหน้าเดินไปมาในบ้าน ทั้งยังได้ยินเสียงนกอพยพนับร้อยตัวร้องระงมขณะบินผ่านบ้านของพวกเขาไป ขณะเดียวกันจู่ ๆ ลูกชายคนโตที่กำลังรักษาอาการเจ็บป่วยก็มีนิสัยเปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ คาดเดาไม่ได้ กลายเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบเขียนบทกวีหัวข้อ “สมสู่กับศพ” ร้ายแรงที่สุดคือวันหนึ่ง เขาพุ่งเข้าทำร้ายลูกพี่ลูกน้องสาวแล้วพยายามข่มขืนเธอ สมาชิกครอบครัวคนอื่นจับตัวเขาไว้ได้และพาไปรักษากับจิตแพทย์ จนอาการเริ่มเป็นปกติถึงได้กลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านอีกครั้ง

          เรื่องราวประหลาดยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่ออัลหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นที่รักถูกครอบงำด้วยอะไรบางอย่าง แล้วพยายามข่มขืนภรรยาและหลานสาวของเขาด้วยท่าทางพิศดารหลายต่อหลายครั้ง น้ำประปาในบ้านบางครั้งก็ไหลออกมาเป็นสีเลือดสด แถมมีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนปลาตายลอยคลุ้งอยู่ในตัวบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นคาร์เมนยังเห็นวิญญาณผู้หญิงผมดำยาว ดวงตาสีดำสนิท และวิญญาณผู้ชายผมขาว นัยน์ตาขาวซีดสวมชุดทักซิโดลายทางเต็มสองตา ทำให้เธอหวาดกลัวอย่างมากจนสลบไป และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้คาร์เมนตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากนักปีศาจวิทยาเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรนทันที

          สองสามี-ภรรยาวอร์เรนรวมทั้ง จอห์น แซฟฟิส ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านครอบครัวสเนเดกเกอร์นานหลายอาทิตย์ จนได้สัมผัสเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหมดตามที่สมาชิกครอบครัวเคยเล่าไว้ รวมถึงเห็นเหตุทำร้ายสมาชิกครอบครัวจากปีศาจ ทั้งถูกตบ ถูกผลัก และถูกยกตัวกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง สองสามี-ภรรยาวอร์เรนรีบสืบค้นประวัติบ้านในอดีตและพบว่ามีสัปเหร่อคนหนึ่งแอบกระทำชำเราศพในบ้านอย่างน่าขยะแขยง ทำให้วิญญาณคนตายเหล่านั้นไม่พอใจและออกอาละวาด พวกเขาจึงลงความเห็นว่าบ้านนี้ต้องทำพิธีกรรมสวดส่งวิญญาณโดยด่วน 

          หลังทำพิธีครอบครัวสเนเชกเกอร์อาศัยอยู่ในบ้านอีกร่วม 2 ปีก่อนย้ายไปยังรัฐเทนเนสซี คาร์เมน สเนเชกเกอร์ เปลี่ยนนามสกุลเป็น คาร์เมน รี้ด ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ รวมถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพลังเรกิ ซึ่งเธออ้างว่าเป็นพลังที่พระเจ้าประทานมาให้เธอใช้เยียวยาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นอกจากนี้คาร์เมนยังมีผลงานเขียนหนังสือมากมายอีกด้วย

          อย่างไรก็ดีมีหลายคนกล่าวหาครอบครัวสเนเชกเกอร์ร่วมมือกับสองสามี-ภรรยาวอร์เรนกุเรื่องโกหก และไม่เชื่อเรื่องราวประหลาดทั้งหมด เพราะครอบครัวที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันทั้งก่อนและหลังจากนั้น ยืนยันว่าไม่มีวิญญาณและไม่มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นแต่อย่างใด 

 

คดีสยองที่ 4: ครอบครัวเพอร์รอน 

          เรื่องราวจริงของครอบครัวเพอร์รอนที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เปิดจักรวาลผี The Conjuring (2013) ทำให้ทั่วโลกรู้จักสองสามี-ภรรยาวอร์เรน ซึ่งรู้หรือไม่ว่าเรื่องราวจริงนั้นมีเรื่องสยองเกิดขึ้นมากกว่าในภาพยนตร์ซะอีก!

          หน้าหนาวในปี 1970 ครอบครัวเพอร์รอนนำโดยโรเจอร์ ผู้เป็นพ่อและแคโรลิน ผู้เป็นแม่ ตั้งใจพาลูก ๆ ทั้งห้าของพวกเขาย้ายบ้านไปใช้ชีวิตสงบสุข ณ บ้านหลังโตพื้นที่กว่า 200 เอเคอร์ ที่เมืองแอร์ริสวิลล์ โร้ด ไอซ์แลนด์ มีชื่อเรียกตั้งแต่สร้างเสร็จสมัยปี 1736 ว่า “The Old Arnold Estate” แต่นับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ของชีวิต เราพหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ลึกลับขึ้นกับพวกเขา

          เด็ก ๆ เริ่มเห็นวิญญาณเด็กผู้ชายเดินไปมาทั่วบ้าน พร้อมขโมยของเล่นของพวกเขาไป เช่นเดียวกับแคโรลินที่สังเกตเห็นว่าไม้กวาดในบ้านถูกย้ายที่เองบ่อยครั้ง บ้างก็ได้ยินเสียงขนแปรงไม้กวาดถูกับกระเบื้องห้องครัว เวลาแคโรลินออกไปข้างนอกแล้วกลับมามักเจอเศษฝุ่นและเศษดินตามพื้นบ้านทุกครั้ง ยิ่งกว่านั้นวิญญาณบางตัวในบ้านยังเริ่มทำความรู้จักกับเด็ก ๆ อย่างเช่น วิญญาณชายหลังค่อมเจ้าของรอยยิ้มสยอง ผู้ชอบโผล่ออกมายืนมองเด็ก ๆ เล่นกัน เด็ก ๆ เริิ่มพูดถึงและเรียกวิญญาณตัวนี้ว่า “แมนนี่” แต่โรเจอร์และแคโรลินยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นผีตัวเป็น ๆ มาก่อน

          เหตุการณ์ประหลาดเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งเตียงนอนของพวกเขาก็ลอยขึ้นจากพื้นเอง ข้าวของเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ก็ชอบเคลื่อนที่ราวกับมีชีวิต ประตูบ้านชอบเปิด-ปิดเองอย่างแรงจนรูปภาพครอบครัวหล่นลงมาจากผนัง ขณะนั้นโรเจอร์และแคโรลินเริ่มขุดคุ้นถึงประวัติของบ้านในอดีต พบว่าบ้าน The Old Arnold Estate แห่งนี้ เคยมีคนอาศัยมาแล้ว 8 ครอบครัวด้วยกัน และมีหลายครอบครัวที่พบกับชะตากรรมอันน่ากลัว อย่างครอบครัวอาร์โนลด์ผู้อาศัยสมัยศตวรรษที่ 18 เริ่มต้นจาก จอห์น อาร์โนลด์ หญิงชราวัย 93 ปีผูกคอตายที่โรงสีข้างบ้าน ซึ่งก่อนหน้านั้นพรูเดนซ์ อาร์โนลด์ วัย 11 ขวบก็ถูกชาวสวนข่มขืนฆ่า ส่วนจอห์นนี่ ญาติของพวกเขานั้นผูกคอตายในห้องใต้หลังคา ทั้งเกิดเหตุจมน้ำตายอีกสองศพในลำธารที่ตัดขวางพื้นที่บ้าน และเหตุพบศพชายปริศนาสี่คนที่ถูกแช่แข็งนานหลายปีก่อนครอบครัวอาร์โนลด์มาอาศัยอยู่

          หลังอ่านประวัติเก่าสุดสยอง โรเจอร์และแคโรลินเริ่มเชื่อว่าบ้านของพวกเขามีพลังงานบางอย่างสิงอยู่ และภูติผีก็เริ่มแผลงฤทธิ์ในคืนนั้นทันที เด็ก ๆ ถูกหลอกหลอนโดยแขกที่ไม่รับเชิญในห้องนอน พวกเขาโดนกระชากขาและผมตอนกำลังหลับ ซินดี้น้อยวัย 8 ขวบถูกผีร้ายกระซิบข้างหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าในผนังห้องนั้นมีศพทหารฝังอยู่ แต่แล้วพวกเขาก็พบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพียงน้ำจิ้ม เมื่อได้รู้จักกับวิญญาณร้ายชื่อว่า “แบธชีบา” 

          เรื่องเล่าท้องถิ่นในอดีตพูดถึงผีแบธชีบาเอาไว้ว่า เธอคือวิญญาณของแบธชีบา เธเยอร์ ภรรยาของจัดสัน เชอร์แมน ที่แต่งงานกันช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 แล้วย้ายมาอยู่ด้วยกันในบ้าน The Old Arnold Estate ลูกคนแรกของพวกเขาเสียชีวิต โดยชาวบ้านอ้างว่าแบธชีบาเป็นคนฆาตกรรมลูกในไส้ของเธอเอง เพื่อนำศพทารกน้อยไปบูชาให้กับซาตานแลกกับความงามนิรันดร์ของเธอ แบธชีบาถูกจับกุมแต่ได้รับการปล่อยตัวหลังจากนั้นไม่นานเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ เธอยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมตลอดชีวิตของเธอจนกระทั่งหมดลมหายใจ หลังตัดสินใจผูกคอตายใต้ต้นไม้หลังบ้านช่วงต้นคตวรรษที่ 20 ว่ากันว่าศพของเธอแข็งอย่างกับหินเหมือนถูกพบครั้งแรก

          กลับกันในความเป็นจริงมีการบันทึกไว้ว่า แบธชีบาและจัดสันสามีของเธอ อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขในบ้าน The Old Arnold Estate แต่แบธชีบามีส่วนเกี่ยวของกับการตายของทารกน้อย ลูกของเพื่อนบ้านที่เธอรับฝากเลี้ยง ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าเธอเป็นฆาตกรจริงหรอไม่ แบธชีบาและจัดสันเสียชีวิตในช่วงเวลาเดียวกัน ประมาณปี 1880 ศพของแบธชีบาได้รับการฝังตามพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์เรียบร้อย แต่สำหรับครอบครัวเพอร์รอน แบธชีบาคือผีเจ้าของบ้านที่พร้อมจู่โจมใครก็ตามที่กล้าย่างกรายเข้าไปในบริเวณบ้านของเธอ

          ครอบครัวเพอร์รอนพบเห็น แบธชีบาปรากฏตัวในร่างหญิงชราหน้าเทาหม่น ศีรษะของเธอบิดเบี้ยวไปข้างหนึ่งเหมือนคนคอหัก และเธอพุ่งเป้าไปที่แคโรลินเป็นพิเศษ เหตุคุกคามจากผีร้ายเริ่มจากจุดเล็ก ๆ อย่างรอยถูกหยิก ถูกตบบนร่างกายของแคโลริน ก่อนมือที่มองไม่เห็นจะหยิบข้าวของในบ้านเขวี้ยงใส่ตอนที่เธอไม่ระวังตัว ร้ายแรงที่สุดคือวันหนึ่ง ขณะที่แคโรลินนอนเล่นอยู่บนโซฟา จู่ ๆ น่องของเธอก็ถูกกรีดเป็นแผลยาวลึกจนเลือดไหลไม่หยุด จุดนั้นแคโรลินตัดสินใจย้ายออกจากบ้าน แต่แบธชีบาไม่ยอมปล่อยและเข้าสิงเธอทันที

          โรเจอร์รีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรน เมื่อเดินทางมาถึงพวกเขาพบว่าแคโรลินเริ่มพูดด้วยภาษาอื่น แถมมีพลังทั้งผลักทั้งโยนคนอื่นกระแทกไปทั่วห้องอย่างกับตุ๊กตาเด็กเล่น เอ็ดและวอร์เรนตัดสินใจทำพิธีไล่ภูติผีปีศาจทันที แต่แทนที่ทุกอย่างจะสงบเหมือนตอนจบในภาพยนตร์ ฤทธิ์เดชของผีแบธชีบาในชีวิตกลับสำแดงหนักขึ้น โรเจอร์ตัดสินใจพาลูก ๆ ย้ายออกจากบ้านชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงในที่สุดผีแบธชีบาก็ออกจากร่างของแคโรลิน

          หลังจากแบธชีบาถูกขับไล่ ครอบครัวเพอรร์รอนยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นต่อไปนับ 10 ปี เพราะไม่มีที่อื่นให้ย้ายไปอีกแล้ว พวกเขาจำใจปรับตัวให้เข้ากับเรื่องราวประหลาดจากภูมิผีที่บังคงสถิตย์อยู่ในบ้าน กระทั่งปี 1980 จึงมีโอกาสย้ายไปมีชีวิตใหม่ที่รัฐจอร์เจีย แต่ที่หักมุมไปกว่านั้น แอนเดรีย หนึ่งในลูกสาวของโรเจอร์และแคโรลินเล่าไว้ในหนังสือของเธอว่า มีวิญญาณจาก The Old Arnold Estate ตามไปหลอกหลอนพวกเขาในบ้านใหม่อีกด้วย! 

 

คดีสยองที่ 5: ตุ๊กตาผีแอนนาเบลล์ 

          จากเรื่องจริงของตุ๊กตาผีเด็กน้อยหน้าตาน่ารัก สู่ตุ๊กตาผีผมเปียสุดหลอนเข้าขั้นมีแฟรนไชส์หนังเดี่ยวเป็นของตัวเอง ตั้งแต่ Annabelle (2014), Annabelle: Creation (2017) และผลงานล่าสุด Annabelle Comes Home (2019) ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ ปัจจุบันนี้ตุ๊กตาของเธอยังคงถูกรักษาไว้ในตู้กระจก ณ พิพิธภัณฑ์เก็บของอาถรรพ์วอร์เรน

          ในปี 1970 ดอนน่า ได้รับของขวัญวันเกิดเป็นตุ๊กตาวินเทจสุดฮิตชื่อ แรกเกอดี้ แอนน์ จากแม่ของเธอ ดอนน่านำตุ๊กตาแอนน์วางไว้บนเตียงนอนในหอพัก เธอมีรูมเมจชื่อว่า แองจี้ อาศัยอยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ดอนน่าและแองจี้สังเกตเห็นว่าตุ๊กตาแอนน์เริ่มขยับที่เองทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่หอพักเลยสักคน แรก ๆ ก็ขยับจากที่เดิมไปไม่ไกล แต่แล้ววันหนึ่งพวกเธอก็พบว่าตุ๊กตาแอนน์ย้ายจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งเอง บางครั้งก็มีท่าทางเปลี่ยนไปอย่างวางขาไขว้กันบ้าง กอดอกบ้าง หรือจากที่ตั้งให้นั่งไว้ หันมาอีกทีตุ๊กตาก็ยืนตรงขึ้นมาเอง บางครั้งดอนน่าและแองจี้ลองวางตุ๊กตาไว้บนโซฟาให้ห้องนั่งเล่นก่อนออกไปทำงาน พอกลับมาก็พบว่าตุ๊กตากลับเข้าไปอยู่ในห้องนอนแล้วเรียบร้อย

          นอกจากเคลื่อนที่ได้เองแล้วตุ๊กตาแอนน์ยังเขียนจดหมายสื่อสารได้ หลังจากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเกือบเดือน ดอนน่าและแองจี้เริ่มสังเกตเห็นข้อความลายมือคล้ายเด็กน้อยเขียนทิ้งไว้บนกระดาษอบขนมให้พวกเธอ “ช่วยเราด้วย (Help Us)” “ช่วยโลด้วย (Help Lou)” ในเมื่อหาสาเหตุไม่ได้ว่าใครเป็นคนเขียน ดอนน่าจึงแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการทิ้งกระดาษอบขนมออกจากหอไปให้พ้น ๆ ตา แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสุดหลอนทั้งหมด

          คืนหนึ่งดอนน่ากลับมายังหอพักและพบว่าตุ๊กตาแอนน์ย้ายที่เองอีกครั้ง คราวนี้มันนั่งอยู่บนเตียงของเธอเอง ปกติแม้แอนน์จะขยับที่เองแต่ก็ยังหน้าตาเหมือนกับตุ๊กตาหญิงสาวปกติ แต่คราวนี้ดอนน่ากลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แปลกไป และเพราะอะไรไม่รู้เธอก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาดื้อ ๆ เมื่อดอนน่าหยิบแอนน์ขึ้นมาดูเธอพบว่าหลังมือและหน้าของแอนน์มีรอยเลือดเปื้อนอยู่ ในตอนนั้นดอนน่าจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องเหนือธรรมชาติ (ยังไม่ใช่เอ็ดและลอร์เรน)

          แล้วดอนน่ากับแองจี้ก็ได้รู้จักกับ แอนนาเบลล์ ฮิกกินส์ วิญญาณเด็กน้อยวัย 7 ขวบที่ร่างไร้ลมหายใจของเธอถูกพบบนที่ดินบริเวณนี้ก่อนสร้างตึกหอพัก แอนนาเบลล์บอกว่า เธอรู้สึกชอบและสบายใจเวลาอยู่ใกล้กับดอนน่าและแองจี้ เธออยากเป็นที่รักและอยากอาศัยอยู่กับดอนน่าและแองจี้ต่อไป ด้วยความสงสารทั้งสองคนตัดสินใจให้แอนนาเบลล์อยู่ด้วยกัน โดยไม่สนใจคำเตือนจากโล เพื่อนของดอนน่าและแองจี้ ที่เจอเรื่องประหลาดจากตุ๊กตาแอนน์ ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่มันย้ายเข้าไปอยู่ในหอพัก

          โลเล่าว่าเขาตื่นขึ้นมากลางดึกคืนหนึ่งเพราะฝันร้ายเรื่องเดิมที่ตามหลอกหลอนเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ร่างกายของเขากลับขยับตัวไม่ได้เหมือนโดนฟรีซไว้ หางตาเขาเหลือไปเห็นวิญญาณเด็กน้อยแอนนาเบลล์อยู่ปลายเท้า ก่อนเงามืดจะค่อย ๆ คลานขึ้นมาตามตัวและนั่งนิ่งบนหน้าอกของเขา ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น แอนนาเบลล์บีบคอโลอย่างแรงจนแทบเกือบหมดลมหายใจและสลบไป เช้าวันรุ่งขึ้นโลขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่มั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช่ฝันแน่ ๆ เขาอยากเอาตัวเองออกห่างแอนนาเบลล์โดยด่วนเลยชวนดอนน่าและแองจี้จัดโร้ดทริปเล็ก ๆ ด้วยกัน

          วันต่อมาโลอ่านแผนที่เตรียมตัวไปโร้ดทริปกับแองจี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงตึงตังดังขึ้นในห้องของดอนน่า พวกเขานึกว่ามีโจรแอบย่องเข้ามาขโมยของ แต่เมื่อเปิดประตูดูในห้องไม่มีร่องรอยบุกรุก และพวกเขาเห็นเพียงตุ๊กตาแอนน์นอนอยู่กลางห้องแค่ตัวเดียวเท่านั้น โลอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนพบว่าหน้าออกของเขามีรอยกรงเล็บข่วนขนาดใหญ่ รอยกรงเล็บ 3 นิ้วเรียงยาวตามแนวตั้ง ส่วนรอยกรงเล็บอีก 4 นิ้วเป็นแนวนอน บาดแผลปริศนาลึกจนมีเลือดซึมออกมาและร้อนวูบเหมือนแผลไฟไหม้ แต่รอยแผลเหล่านี้ค่อย ๆ ดีขึ้นและจางหายไปสองวันหลังจากนั้น

          ในที่สุดดอนน่าก็เชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาเผชิญอยู่ไม่ใช่แค่วิญญาณเด็กน้อยธรรมดา แต่เป็นปีศาจร้าย เธอติดต่อกับบาทหลวงเฮแกน แต่เขาบอกว่าพลังอำนาจของปีศาจตนนี้ยากเกินจะรับมือ จึงติดต่อไปยังบาทหลวงครูกให้เรียกตัวสองสามี-ภรรยาวอร์เรนมาอีกที หลังจากไถ่ถามที่มาที่ไปเอ็ดและวอร์เรนบอกว่า ปกติวิญญาณร้ายไม่ได้สิงสิ่งของหรือสถานที่ แต่มันมักสิงผู้คน ในเคสนี้คือมีปีศาจควบคุมสิ่งของ หลอกว่ามีผีสิงอยู่ในของเหล่านั้น เพื่อรอวันเข้าสิงผู้คนที่จิตใจเริ่มอ่อนแออีกที เพราะฉะนั้นเรื่องวิญญาณเด็กน้อยแอนนาเบลล์เป็นเพียงคำโกหกให้ดอนน่าใจอ่อน แล้วยอมรับตุ๊กตาตัวนี้อยู่ด้วยอย่างเต็มใจ เท่ากับว่าตุ๊กตาเป็นตัวกลางที่ได้รับอนุญาตให้ปีศาจใช้เป็นเครื่องมือแผลงฤทธิ์อย่างเต็มที่

          เอ็ดและวอร์เรนร่วมมือกับบาทหลวงครูก ทำพิธีกรรมชำระล้างทั่วหอพักด้วยคำสวดยาวกว่า 7 หน้ากระดาษ โดยไม่ใช่บทสวดขับไล่ปีศาจ แต่เป็นบทสวดศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ปกปักรักษาและคุ้มกันบริเวณหอพักด้วยพลังแห่งพระผู้เป็นเจ้า เสร็จสิ้นพิธีดอนน่าไม่อยากให้มีเหตุอันตรายเกิดขึ้นกับเธอและเพื่อน ๆ สองสามี-ภรรยาวอร์เรนจึงนำตุ๊กตาแรกเกอดี้ แอนน์กลับไปทำพิธีสะกดวิญญาณที่ห้องเก็ของอาถรรพ์ของพวกเขา ระหว่างทางกลับบ้านพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายจากตุ๊กตาที่นั่งอยู่เบาะหลัง มันใช้พลังควบคุมรถยนต์ให้ส่ายไปส่ายมาทุกโค้งเลี้ยวจนสายเบรคแทบพัง แถทยังชนสิ่งของนับไม่ถ้วน เอ็ดตัดสินใจหยุดรถแล้วพรมน้ำมนต์ไปยังตุ๊กตาผี เหตุร้ายทั้งหมดจึงสงบลงทำให้พวกเขากลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพ

          ทันทีที่ถึงบ้านตุ๊กตาผีแผลงฤทธิ์อีกครั้ง มันลอยไปลอยมาเหนือพื้นนับครั้งไม่ถ้วน แล้วยังย้ายไปปรากฏตัวตามห้องต่าง ๆ ทั่วโลกตลอดหลายสัปดาห์ ก่อนเอ็ดและลอร์เรนออกจากบ้านพวกเขาจะล็อกมันไว้ในห้องทำงานนอกตัวบ้าน แต่พอกลับมามักพบมันนั่งหน้าตาแป้นแล้นอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดของเอ็ดเหมือนเดิมทุกครั้ง วันหนึ่งบาทหลวงเจสันมาที่บ้านของเอ็กและวอร์เรน เขาพูดกับตุ๊กตาว่า “แกมันก็แค่ตุ๊กตาสั่ว ๆ แอนน์นาเบลล์ แกทำร้ายใครไม่ได้หรอก” จนเอ็ดต้องค้านขึ้นมาว่า “นั่นคือสิ่งที่คุณไม่ควรพูดเลยสักนิด” แล้วก็เป็นเรื่องจนได้เมื่อระหว่างทางขากลับจู่ ๆ เบรกรถของบาทหลวงเจสันก็พังทำให้ประสบอุบัติเหตุรถพังไปตามระเบียบ โชคดีที่ยังเอาชีวิตรอดมาได้

          ท้ายที่สุดเอ็ดและลอร์เรนตัดสินใจนำตุ๊กตาแอนนาเบลล์ล็อกไว้ในตู้กระจกศักดิ์สิทธิ์ ที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อแอนนาเบลล์โดยเฉพาะ แม้จะไม่ได้เห็นแอนนาเบลล์ย้ายที่เองเหมือนแต่ก่อน แต่เอ็ดและลอร์เรนเชื่อว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของชายหนุ่มคนหนึ่งหลังจากนั้น ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์กับแฟนสาวของเขา แต่พอรู้เรื่องแอนนาเบลล์เขากลับทำเรื่องแผลง ๆ อย่างเขย่าตู้กระจกนั้นอย่างแรง พร้อมกล่าวท้าให้แอนนาเบลล์ทำร้ายเขาอย่างที่เคยทำกับคนอื่น แม้เอ็ดจะกล่าวเตือนแล้วแต่ก็สายไป ระหว่างทางกลับบ้านชายหนุ่มประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ชนต้นไม้เสียชีวิตคาที่ ส่วนแฟนสาวได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลไปนานหลายปี เมื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง เธอเล่าให้ฟังว่าพวกเขาหัวเราะล้อเลียนแอนนาเบลล์อย่างสนุกสนานก่อนมอเตอร์ไซค์จะเสียการทรงตัวจนเกิดเหตุร้ายดังกล่าว

ที่มา: warrens.net, livescifi.tvdreadcentral.comparanorms.comallthatsinteresting.comcoolinterestingstuff.commirror.co.uk

 

: เกร็ดหนังดี, Annabelle, The Conjuring

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • เกร็ดหนังดี ล้วงลึกก่อนดูภาพยนตร์ หม่อม
  • เปิด 5 หนังหลอน จากสิ่งสุดสะพรึงที่แฝงกายอยู่ในบ้าน ก่อนระทึกไปกับความสยองที่หลอนเกินคาดใน "Cobweb"
  • เกร็ดหนังน่ารู้ ก่อนดู Black Adam 20 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น!
  • เกร็ดภาพยนตร์ Vesper ฝ่าโลกเหนือโลก 6 ตุลาคม ในโรงภาพยนตร์
  • 6 เกร็ดหนังทวนความจำก่อนดู Fantastic Beasts: The Secrets Of The Dumbledore
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :