ข่าว > ข่าวหนังทั้งหมด > รีวิวหนังวันวาน

รีวิว Rocketman - ร็อคเก็ตแมน

26 มิ.ย. 2562 12:31 น. | เปิดอ่าน 1532 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

ภาพยนตร์อิงชีวประวัติเซอร์เอลตัน เฮอร์คิวลีส จอห์น นักร้องชาวอังกฤษที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์การเล่นเปียโน รวมถึงสามารถแต่งทำนองและคำร้องได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นจนจบเราจะได้ทำความรู้จักกับเด็กขี้อายธรรมดา ๆ ชื่อว่า เรจินัลด์ เคนเน็ธ ดไวท์ เรียกสั้น ๆ แบบกุ๊กกิ๊กว่า เร็จจี้ ดไวท์ ที่เติบโตมาเป็นตำนานนักร้อง-นักดนตรีทุกคนยอมรับในตัวตน รสนิยม และการแต่งกายสุดหลุดโลกของเขา ผ่านบทเพลงที่เจ้าตัวถ่ายทอดออกมาอย่างจริงใจ ซึ่งขอบอกเลยว่าเราสามารถสัมผัสความจริงนั้นได้ในทุกช่วงขณะที่ดู เพราะ “Rocketman - ร็อคเก็ตแมน” นั้นไม่ใช่หนังเล่าประวัติศิลปินธรรมดา แต่ยังนำเสนอประเด็นความรัก ครอบครัว เพื่อน และประเด็นที่โดดเด่นมากที่สุดคือ “สอนให้รู้จักรักตัวเอง”

 

เริ่มต้นจากชีวิตครอบครัวที่ทุลักทุเลตั้งแต่วัยเด็ก กับพ่อก็ห่างเหิน กับแม่ที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ ก็ไม่สนิท ขนาดอ้อมกอดอุ่น ๆ เพียงกอดเดียวเด็กน้อยเร็จจี้ยังไม่เคยได้รับเลยสักครั้ง ความเจ็บปวดที่สะสมมาจากครอบครัว ทำให้เร็จจี้เริ่มสร้างกำแพงขึ้นมาในใจลึก ๆ แล้วผลักไสความเจ็บปวดนั้นออกไป ด้วยการสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ชื่อว่า “เอลตัน จอห์น” เพื่อใช้ชีวิตตามใจฉัน อยากทำอะไรก็ทำ กล้าได้กล้าเสียแบบสุดเหวี่ยง ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ตัวเขาเองได้ปลดปล่อยความอึดอัดทั้งหมดในใจออกมา แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือกระบวนการปฏิเสธตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอย่างสาหัสที่สุด คำถามก็คือ.. “ถ้าเราไม่รักตัวเอง คนอื่นจะรักเราไหม? ถ้าเราไม่ยอมรับตัวเอง คนอื่นจะยอมรับเราไหม? ถ้าเราไม่ให้อภัยตัวเอง คนอื่นจะให้อภัยเราไหม? และถ้าเราไม่เข้าใจตัวเอง คนอื่นจะเข้าใจเราไหม?” 

 

หากลองคิดดู ชีวิตของเอลตัน จอห์นไม่ได้พังลงเพราะเหล้ายาหรือคนรักที่ไม่ได้เรื่อง แต่เป็นมุมมองและความคิดซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของก้าวเล็ก ๆ ที่ผิดพลาด เขาเกลียดตัวเอง เขาปฏิเสธตัวเอง แล้วโหยหาความรัก-การยอมรับจากคนอื่น จนไม่ทันนึกเลยว่าคนที่เข้ามาหยิบยื่นสิ่งนั้นให้รักในตัวเขาจริงไหม หรือต้องการเพียงผลประโยชน์จากเขาเท่านั้น แน่นอนว่าความเจ็บปวดที่เขาสั่งสมมาตั้งแต่เด็กทำให้เข้าเลือกฟังคำเยินยอจอมปลอมที่สวยหรูจากคนอื่น แล้วผลักไสคำพูดเตือนสติจากเพื่อนที่จริงใจ พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ลุ่มหลงในภาพจอมปลอมนั้นจนไม่เหลือใครอีกแล้ว.. ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นถือเป็นจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตของเอลตัน แต่ในขณะเดียวกันนั่นคือโอกาสที่ทำให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ได้คุยกับตัวเองว่าเขาตัดสินใจพลาดอะไรตรงไหน ซึ่งหากคิดจนเข้าใจแล้ว ชีวิตหลังจากนั้นแหละคือฟ้าหลังฝนที่แท้จริง

 

ฉากที่เอลตันเมินคำพูดคนอื่นรอบตัวแล้วหันมากอดเร็จจี้ตัวน้อยในห้องบำบัด จึงกลายเป็นฉากน่าประทับใจที่สุดในเรื่องนี้ เพราะทำให้คิดตามว่าสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตคือ “เราต้องรู้จักรักตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก” แล้วเราจะแยกแยะออกเองว่าคนไหนเข้ามาทำร้าย หรือคนไหนเข้ามาด้วยความจริงใจจริง ๆ ชอบที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เตือนสติเรื่องการใช้ชีวิตได้มากมาย โดยเฉพาะการพูดขอโทษหรือขอบคุณให้ตัวเองและคนรอบข้าง แล้วยังให้ความหวังให้กำลังใจแก่คนดูด้วยว่า เราทุกคนสามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะผิดพลาดแค่ไหนก็ตาม คือเราเลือกเกิดในครอบครัวที่เพอร์เฟกต์ไม่ได้ เราเลือกอยู่ในสังคมที่มีแต่คนดีไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะให้ใครมาอยู่เคียงข้าง และถ้าหากไม่มีใครเลยก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเรายังมีตัวเอง รักตัวเอง เปย์ตัวเอง มีความสุขออก 

 

อีกประเด็นที่ชอบคือประเด็นเรื่อง “ความรัก” เอลตันสามารถเอาชนะคำสาปแช่งของแม่ว่า “แกเลือกชีวิตที่ต้องโดดเดี่ยวไปตลอดกาล” มาได้ด้วยการได้เจอคนรักที่ดี มีครอบครัวมีลูกตัวน้อยน่ารักด้วยกันถึงสองคนในที่สุด เห็นแล้วก็คิดได้อย่างหนึ่งว่า “การมีความรักที่ดี” ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าตามหาสุดลิ่มทิ่มประตู เพราะสักวันหนึ่งเราจะได้พบกับคนที่พอดี พาเหมาะกับชีวิตของเราโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าคุณจะมีรสนิยมทางเพศแบบไหนก็ตาม ถ้ารู้สึกเหงาเหรอ? ความรักความห่วงใยจาก “เพื่อน” ก็เป็นเครื่องเยียวยาที่ดีได้เหมือนกัน เห็นได้จากความสัมพันธ์ของแอลตันกับเบอร์นี่ ที่ไม่ว่าเอลตันจะผีเข้า ผีออกแค่ไหนเบอร์นี่ก็เข้าใจและพร้อมอยู่เคียงข้างเสมอ นี่ก็นับเป็นความรักที่ดีเหมือนกันนะ :)

 

สุดท้ายนี้ขอชื่นชมเอลตัน จอห์นที่กล้าเสนอด้านมืดในชีวิตของตัวเองออกมาครบทุกเม็ด ชื่นชมทารอน เอเจอร์ตันที่สวมบทบาทนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม มีหลายฉากที่ทำให้เชื่อเลยว่าเขานี่แหละคือเอลตัน จอห์น ชิ่นชมทีมงามที่เก็บทุกรายละเอียดของยุค 70 ครบถ้วน โดยเฉพาะเซตฉากและเสื้อผ้าหน้าผมที่อิงมาอย่างเป๊ะ! และชื่นชมผู้กำกับที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ละเมียดละไม เล่าได้ไม่น่าเบื่อหรือชวนง่วง รวมถึงเข้าใจแทรกเพลงต่าง ๆ อย่าง Rocketman, Tiny Dancer, Your Song, Goodbye Yellow Brick Road, Sorry Seems To Be The Hardest Word หรือ Boarder Song ให้เข้ากับอารมณ์ของเนื้อเรื่องในช่วงนั้นได้อย่างดี ทำให้ภาพยนตร์โดยรวมออกมากลมกล่อมมากเลยทีเดียว

หากคุณเป็นแฟนเพลงเอลตัน จอห์นอยู่แล้ว รับรองว่าถ้าได้ดูแล้วกลับมาฟังอีกครั้ง ทุกบทเพลงของเขาจะฟังอบอุ่นและลึกซึ้งกว่าเดิม ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟนเพลงเองก็ดูได้ เพราะสิ่งที่คุณจะได้กลับไปคือกำลังใจ ความหวัง และข้อคิดดี ๆ ในการใช้ชีวิตมากมายอย่างแน่นอน

 

: วิจารณ์หนัง, ทารอน เอเจอร์ตัน, เซอร์ เอลตัน จอห์น, Rocketman

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • รีวิว My Name is Loh Kiwan – ผมชื่อโรกีวาน
  • "The Zone of Interest วิมานนาซี" รีวิวสะพรึงทั้งรอบสื่อ ผู้กำกับ-นักวิจารณ์-นักการเมือง เริ่ม 1 มีนาคมนี้
  • เฮี้ยนสยอง หลอนแรง จนไม่กล้าขึ้นลิฟต์! "Elevator Game ลิฟต์ซ่อนผี" วันนี้ ในโรงภาพยนตร์
  • "สมมติ" (Supposed) ทุกเสียงชื่นชม "หนังไทยแห่งปี" สมศักดิ์ศรี "ภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย" ของ "ธนกร พงษ์สุวรรณ"
  • ตอกย้ำเสียงหัวเราะจนผู้ชมยิ้มหวานทั้งเรื่อง หนังรอมคอมโคตรปังแห่งปี! "Love Reset 30 วันโคตร(เกลียด)เธอเลย"
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :