
![]()
คุณได้แรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวขึ้นโรงขึ้นศาล The Third Murder มาจากไหน
เริ่มต้นเลย ผมอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาชีพทนายความอย่างถูกต้อง พอผมได้คุยกับทนายหลาย ๆ คน รวมถึงผู้ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายจาก Like Father, Like Son ทุกคนต่างบอกกับผมว่า "ศาลไม่ใช่สถานที่ตัดสินความจริง" พวกเขาบอกว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าความจริงเป็นยังไง ผมคิดว่ามันน่าสนใจมากทีเดียว เลยเกิดความคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เรามามาทำหนังดราม่าขึ้นโรงขึ้นศาล ที่ไม่สามารถเปิดเผยความจริงได้ดีกว่า
ตอนเขียนบท คุณไปนั่งฟังการพิจารณาคดีความหลายรอบด้วย
เมื่อก่อน ผมเคยทำหนังที่เล่าเรื่องราวจากมุมมองที่ว่า ตัวละครจะไม่ถูกตัดสิน พูดอีกอย่างก็คือ ผมทำหนังโดยปราศจากมุมมองที่หยั่งรู้ได้รอบด้าน อย่างไรก็ตาม การทำหนังดราม่าระทึกขวัญขึ้นโรงขึ้นศาล มันไม่สามารถใช้มุมมองแบบนั้นได้ ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากให้มันออกมาเป้นอย่างนั้นครับ มันเลยเกิดปมดังกล่าวขึ้นมา
![]()
คนดูสัมผัสได้ถึงตึงเครียดที่สมจริงมากตอนเห็นทนาย (มาซาฮารุ ฟูคุยาม่า) ซักไซ้สอบถามฆาตกร (โคจิ ยาคุโช)
ก่อนจะเริ่มถ่ายทำ เราเคยลองซ้อมอ่านบทกับ ฟูคุยาม่า และ ยาคุโช ฉากการสอบสวนในห้องเป็นฉากที่น่าทึ่งมากครับ ตอนแรกจริง ๆ ผมไม่อยากให้มีฉากแบบนี้มากเท่าไหร่ เพราะมันจะดูนิ่งเกินไป ในหนังดราม่าแนวครอบครัวเรื่องก่อน ๆ ผมเลยพยายามขยับให้ตัวละครไม่อยู่นิ่ง ๆ ติดที่ ในหนังเรื่องนี้ ฉากในห้องสอบสวนมันมีกระจกกั้น มันเลยทำให้ตัวละครต้องนั่งลงคุยกัน อย่างไรก็ตาม ตอนที่ผมเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาทั้งคู่ ผมคิดว่าฉากนี้น่าจะเร้าอารมณ์มาก ๆ เลยเติมมันเพิ่มเข้าไปหลังจากผมเห็นนักแสดงเข้าฉาก ผมเลยพอจะมองเห็นโครงร่างของหนังทั้งเรื่องได้ครับ
การกำกับภาพทรงพลังมาก เป็นการนำวิชวลแบบหนังฟิล์มนัวร์มาใช้ในเนื้อหาที่เป็นของตัวเอง
ครั้งนี้ผมตั้งใจทำหนังอาชญากรรมเต็มตัว ผมให้ความสำคัญกับการตัดกันของแสงและเงา มันไม่ใช่การจัดแสงตามธรรมชาติแบบที่ผมเคยใช้มาโดยตลอด ผมได้รับคำแนะนำจากผู้กำกับภาพ คุณมิกิยะ ทากิโมโต้ และเราถ่ายทำด้วยขนาดภาพแบบ CinemaScope ภาพลักษณะนี้ การโคลสอัพ จะมีประโยชน์มาก ๆ ตัวอย่างเช่น ฉากที่ทนาย 3 คนเดินไปพร้อม ๆ กันมันดูเท่มากครับ ผมคิดว่ามันออกมาดีทีเดียว
![]()
คุณวางแผนเรื่ององค์ประกอบภาพยังไงบ้าง
ผมมีภาพในหัวเป็นภาพของหนังอาชญากรรมจากอเมริกายุค 1950s ตอนแรกผมบอกให้ ทากิโมโต้ ไปดู Mildred Pierce (ของผู้กำกับ ไมเคิล เคอร์ติซ, 1945) จากนั้นเราก็มาคุยกันถึงหนังที่ใช้ภาพแบบ CinemaScope แล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่าง Seven (ของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์, 1995) และหนังหลาย ๆ เรื่องของผู้กำกับ พอล โทมัส แอนเดอร์สัน รวมถึง High and Low (1963) ของ อากิระ คุโรซาว่า เรานั่งดูว่าจะจับภาพสิ่งต่าง ๆ แบบ CinemaScope ยังไงโดยไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดลดน้อยลง
หนังเผยให้เห็นข้อเท็จจริงว่า การตัดสินผลของคดี นั้นไม่ได้คำนึงถึง ความจริง เลย
ปกติแล้วหนังแต่ละเรื่องจะพาคนดูไปพบกับความจริงในตอนจบ อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ เราจะได้เห็นแค่กระบวนการตัดสินของศาล โดยที่ตัวละครไม่ได้พบกับความจริง มันแสดงให้เห็นว่า สังคมของเราให้อภัยระบบที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ซึ่งไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง นอกเสียจากผู้คนจะตัดสินผู้อื่นโดยที่ไม่ได้รับรู้ความจริงเลย
ไม่กี่ปีหลังมานี้ คุณสร้างหนังโดยขุดเอาประสบการณ์ของตัวเองมาใช้ ใน The Third Murder คุณทำอะไรแปลกใหม่บ้างรึเปล่า
ทำครับ ผมอยากทำอะไรที่แปลกใหม่ไปจากเดิม เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่ง เวลาจะบอกเองว่าผมไม่สามารถทำอะไรใหม่ ๆ ได้แล้ว ดังนั้นมันจึงสนุกมากที่ผมยังสามารถทำหนังแบบนี้ ในช่วงเวลาแบบนี้ได้อยู่
![]()
1 ฆาตกร 1 คำโกหก 1 เด็กสาวร้ายบริสุทธิ์ ใครกันแน่คือคนฆ่า?
"The Third Murder - กับดักฆาตกรรมครั้งที่ 3" 7 ธันวาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์