ข่าว > ข่าวหนังทั้งหมด > ข่าวหนัง

เปิดใจคนทำ ‘Fail Stage เพราะฝัน มันใหญ่มาก’ หนังไทยที่เปิดตัวด้วยรายได้ที่น้อยที่สุดเพียง 550 บาท

2 เม.ย. 2560 00:28 น. | เปิดอ่าน 1524 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 


กลายเป็นที่ฮือฮาในวงการภาพยนตร์ไทย เมื่อแฟนเพจ Bioscope Magazine เปิดเผยรายได้ภาพยนตร์เข้าใหม่ประจำวันที่ 30 มี.ค. 2560 ปรากฎว่าภาพยนตร์เรื่อง “Fail Stage เพราะฝัน มันใหญ่มาก” ซึ่งกำกับโดยสองผู้กำกับหน้าใหม่ ปั๊บ – ปารัชชา ปวโรฬารวิทยา และ ต้อง – อภิวัฒน์ บุญชะลักษี ทำรายได้วันแรกอยู่ที่ 550 บาท โดยถือเป็นหนังไทยที่เปิดตัวด้วยรายได้ที่น้อยที่สุด และอาจจะต้องปิดตัวลงด้วยรายได้เพียงหลักพัน

เรื่องนี้ ต้อง อภิวัฒน์ หนึ่งในผู้กำกับ ยอมรับว่า “ตกใจ” หลังเห็นตัวเลขในวันแรก
“แต่จริงๆ ผมตกใจมาก่อนหน้าวันที่หนังจะเข้าแล้วครับ” “ทางโรงแจ้งว่ามีรอบเท่านี้นะ พอรู้อย่างนั้น ตายละ! เราทำอะไรพลาดไป มันเหมือนเป็นวินาทีสุดท้าย ใส่อะไรไม่ทันแล้ว เราก็จำเป็นต้องปล่อยไป”  “เราได้รอบฉายน้อยมาก แล้วรอบวันแรกโรงในกทม. ก็ติดปัญหาจริงๆ ก็ฉายไม่ได้ ตัวเลขที่มาคาดว่าน่าจะมาจากที่เมเจอร์เชียงใหม่รอบเดียว”

ส่วนรายได้รวม ณ ปัจจุบัน แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดแต่จากความรู้สึก “ไม่น่าจะเยอะมาก เพราะหนังเราไม่มีกระแสด้วย โรงก็ลดรอบลงไปอีก ฉะนั้นเรื่องตัวเลขก็ไม่น่าจะดี” เขา บอก

 

ก่อนเผยว่า ที่ผ่านมาเขาและเพื่อนทำงานด้าน Production Service ให้กับกองถ่ายหนังต่างประเทศมาโดยตลอด “Fail Stage” จึงถือเป็นหนังไทยเรื่องแรกของทั้งคู่ที่ทำแบบลองผิดลองถูก “ด้วยความที่เราใหม่กับหนังไทยด้วย ไม่เคยทำมาก่อน เพราะหนังต่างประเทศที่มาถ่ายเมืองไทย พอเสร็จแล้วเขาจะไปตัดต่อที่ต่างประเทศ เราก็จะจบงานทุกอย่างแค่ตอนถ่ายเสร็จ” “แต่อันนี้พอเราถ่ายเสร็จ มันไม่จบแค่นั้น มันต้องมาทำอะไรอีกเยอะมากที่เราเพิ่งมาเจอเหมือนกัน พอเสร็จมาเป็นตัวหนังปุ๊บ ต้องมีพีอาร์อีก ต้องคุยกับโรง มีกระบวนการอีกเยอะมาก คือไม่เคยมีประสบการณมาก่อน ถือว่าใหม่มากสำหรับตรงนี้ ทุกอย่างเราทำโดยที่เราไม่มีประสบการณ์ ระหว่างทำเราลองผิดลองถูกตลอดเลย”

“ด้วยประเภทของหนัง จากตัวอย่างอาจจะดูไม่น่าสนุกก็ได้ คนมองแล้วไม่ตื่นเต้นเร้าใจ แล้วก็เรื่องรารโปรโมท ทำพีอาร์ก็เป็นเรื่องใหม่ของเราเลย มีพี่ๆ หลายคนก็บอกว่าต้องมีกระแส เราก็ถามว่ามันต้องทำยังไง เราไม่ทราบจริงๆ และเรื่องของการจำหน่ายด้วย สิ่งเหล่านี้เราอาจจะไม่เข้าใจกระบวนการตั้งแต่แรก”

“แต่ผมเชื่อว่าทุกคนทำเต็มที่แล้ว หนังมันไม่มีกระแสจริงๆ เราไม่ได้ทุ่มโฆษณาขนาดนั้น เข้าใจว่าโรงก็ทำธุรกิจ ถ้าเกิดว่ามันไม่ดีมันก็ถูกแล้วที่เขาจะไม่ฉาย ก็ไปว่าตรงนั้นไม่ได้”

 


“เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าการที่จะได้โรงเยอะ หนังต้องมีกระแสนะ มันต้องทำให้คนรู้จักหนังเราเยอะๆ เราก็ถามกับตัวเองว่าจะทำยังไงให้คนรู้ อ๋อสงสัยต้องมีงบประมาณการโปรโมทที่เยอะมากๆ เราก็ทำโปรโมทไปบ้างแต่ไม่มากขนาดนั้น เลยคิดว่ามันอาจจะต้องคูณสิบเท่าหรือเปล่านะ ตัวหนังด้วย ถ้าหนังไม่ใช่หนังตลาด เราอาจจะต้องลองพิจารณาว่าเข้าโรงเล็กดีไหม ทำเป็นอินดี้ไปเลยหรือเปล่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราก็ได้เรียนรู้จากตรงนี้แหละครับ” เขา เล่า

บอกอีกว่า หนังเรื่องนี้ลงทุนไปประมาณ 4 ล้าน เกือบ 5 ล้านบาท ซึ่งพูดตามตรง “เรื่องรายได้ไม่ได้คาดหวัง”

เพราะ “สิ่งที่คาดหวังคือเราอยากทำหนังที่มันไม่ใช่หนังกระแสดูบ้างว่าเป็นยังไง ตอนแรกที่เลือกพล็อต ประเภทหนัง เราก็ลองดูซิว่าถ้าเราไม่ทำหนังรัก ไม่ทำหนังตลก ไม่ทำหนังผี มันจะมีหนังแบบไหนที่เราทำได้อีกบ้าง จริงๆ ก็อยากสร้างทางเลือก”

“คราวนี้สิ่งที่มองต่อไปคืออยากให้คนได้ดูมากกว่านี้ ทำยังไงให้คนได้ดูมากขึ้น อาจจะหาช่องทางอื่นดู สมมติว่าถ้าหนังเราออกมาแล้ว เราก็อาจจะไปคุยกับโรงอื่นๆ อีก ว่าจะมีช่องทางไหนอีกมั้ย มีวิธีการยังไงให้คนได้ดูอีกบ้าง”

แม้ว่าจะเริ่มต้นไม่สวยเท่าไรนัก แต่เขาก็ยังไม่ถอดใจ “ผมยังสนุก ยังชอบการทำงานหนังอยู่นะ แต่อย่างที่เรียนให้ทราบว่า พอหนังเสร็จแล้วต้องทำโปรโมท ต้องจัดจำหน่าย มันเป็นโลกใหม่จริงๆ เราไม่รู้เลยจริงๆ เราไม่แน่ใจว่ามีความสามารถพอมั้ย”

“ถามว่าสมมติจะทำเรื่องต่อไปพอถึงจุดนี้แล้วจะทำยังไง อันนี้ผมยังไม่มีคำตอบว่าจะต้องทำยังไง แต่ยังอยากทำหนังไทยอยู่ อยากทำหนังไทยแปลกๆ อยู่ อยากลองดู”

 


ซึ่งในฐานะคนทำและเสพหนัง ยังเชื่อว่าวงการหนังไทยยังมีโอกาสอีกมาก

“พอเราได้ลองทำออกมาแล้ว เราเข้าใจว่าโอกาสที่จะได้รายได้ หรือแม้กระทั่งค่ายใหญ่ โอกาสที่จะได้รายได้คุ้มทุนหรือกำไรก็มีความยากลำบากเหมือนกันนะ ขนาดเราตัวเล็กมาก ก็ยังเจอขนาดนี้ แต่ถ้าคนที่ลงทุนมากกว่าเขาก็คงต้องโดน มันก็ยากหมดทั้งกระบวนการ”

“แต่ผมเชื่อว่าคนไทยยังดูหนังไทย อันนี้ก็อิงจากตัวเองด้วย ในขณะที่มีหนังเมืองนอกน่าดู เราก็ไปดู แต่เมื่อมีหนังไทยที่น่าสนใจเราก็ดู เชื่อว่าตลาดหนังไทยยังดีแหละ แต่เราคงต้องหามันให้เจอ หาวิธีการที่จะทำตลาดนี้ให้ได้ โดยที่ต้องดูทั้งสองด้าน หาบาลานซ์ให้เจอ ทั้งเรื่องการผลิต ควบคุมค่าใช้จ่ายการโปรโมท”

“หาจุดที่ว่าทำประมาณไหนให้หนังมีรายได้โอเคกับผู้ผลิต”

 

ที่มา Matichon.co.th

: เพราะฝัน มันใหญ่มาก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • มาสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกความฝัน ในภาพยนตร์ "เพราะฝัน มันใหญ่มาก"
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :