2016 นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีทองสำหรับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งในด้านของคุณภาพและในส่วนของรายได้ แต่มันจะเด่นชัดในเรื่องรายได้ซะมากกว่า และแน่นอนว่าหนึ่งในหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือ Deadpool ของค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ บางทีอาจจะเรียกได้ว่าบทซุปเปอร์ฮีโร่เดดพูลนี้เป็นบทท็อปฟอร์มที่สุดของ ไรอัน เรย์โนลด์ (Ryan Reynolds) ในรอบสิบปีเลยก็ได้

ระหว่างที่ ไรอัน เรย์โนลด์ (Ryan Reynolds) นั่งพูดคุยกับ ทาราจิ พี เฮนสัน (Taraji P. Henson)  ในรายการ Actors On Actors ของ Variety เขาได้เผยว่าผลจากความหายนะของหนัง Green Lantern (2011) มันทำให้เขาเป็นนักแสดงที่ไม่น่าจ้าง “ผมเป็นเครื่องหมายความหายนะของซุปเปอร์ฮีโร่ไปช่วงหนึ่งเลยล่ะ หลังจาก Green Lantern ผมก็กลายเป็นคนที่ไม่น่าจ้างมาแสดงหนังไปเลย”

Green Lantern เข้าฉายไปเมื่อปี 2011 ตอนที่วอร์เนอร์ บราเธอร์ยังคงพยายามค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำกับเหล่าตัวละครดีซีอยู่ ซึ่งหนังเรื่องนั้นมันกลับเจ๊งไม่เป็นท่า ไม่ว่าจะในมุมของแฟน ๆ หรือนักวิจารณ์ มันกวาดรายได้ทั่วโลกไปได้เพียง 219 ล้านดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น จากทุนสร้างที่สูงถึง 200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ถึงแม้หนังจะไม่ขาดทุนแต่สุดท้ายบทบาทนี้มันก็สร้างรอยแผลให้กับ ไรอัน เรย์โนลด์ (Ryan Reynolds)

หากลองย้อนกลับไปดูผลงานของ เรย์โนลด์ (Reynolds) ในช่วงระหว่าง Green Lantern กับ Deadpool จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่งานที่เขาได้รับมันเป็นงานพากย์เสียงทั้งนั้น รวมถึงบทเล็ก ๆ ในหนังเรื่อง Ted เขาถูกดึงจากแสงสปอร์ตไลท์ที่สาดส่องอยู่ด้านหน้า ให้มายืนเป็นเพียงตัวประกอบเล็ก ๆ ข้างหลัง ปี 2013 เขาได้ลองพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในหนังที่ดัดแปลงจากการ์ตูน R.I.P.D. แต่มันก็ยังคงยากที่จะกระโดดกลับขึ้นไปสู่จุดที่เขาเคยอยู่ จนกระทั่งได้มาแสดงหนัง Deadpool ซุปเปอร์ฮีโร่คนนี้ได้พลิกชีวิตของ เรย์โนลด์ (Reynolds)  ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และแน่นอนว่าจากความสำเร็จของหนัง Deadpool ภาคแรกมันก็ต้องนำมาซึ่งความคาดหวังที่สูงกว่าเดิมในภาคต่อ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่า เดวิด ลิตช์ (David Leitch) จะมาทำหน้าที่แทนผู้กำกับ ทิม มิลเลอร์ (Tim Miller) ได้ดีขนาดไหน แล้ว เรย์โนลด์ (Reynolds) จะรอดจากตกไปสู่จุดที่เป็นนักแสดงที่ไม่น่าจ้างอีกครั้งได้หรือไม่ คงต้องรอจับตาดูกันต่อไป

ที่มา: Movieweb.com