
![]()
ถือเป็นภาพยนตร์ที่ใช้เวลาถ่ายทำนานที่สุดเรื่องหนึ่งเพราะยกกองถ่ายไปใน 2 ประเทศ และต้องพิถีพิถันในการเลือกโลเกชั่นเพื่อให้ภาพออกมาสวยสมจริงมากที่สด สำหรับ The Light Between Oceans ภาพยนตร์ที่ใช้เวลาถ่ายทำ 45 วันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2014 ทีมงานยกกองไปถ่ายทำกันที่เมืองมัลโบโรห์ กับโอเทกอน ประเทศนิวซีแลนด์ และเกาะทาสมาเนีย ประเทศออสเตรเลีย
![]()
1 ในภารกิจสำคัญของการทำหนังเรื่องนี้คือการหาโลเคชั่นที่จะกลายเป็นเกาะเจนัสร็อค ที่ตั้งของประภาคารซึ่งเป็นฉากหลังที่มีความสำคัญของเรื่อง ทีมงานตามหาประภาคารกลังที่ใช่อยู่นานไม่ต่ำกว่า 300 แห่งทั่วออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอประภาคารที่แหลมแคมป์เบล (Cape Campbell Lighthouse) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณช่องแคบคุก (Cook Strait) นิวซีแลนด์ ประภาคารความสูง 72 ฟุตแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1870 แถมบรรยากาศโดยรอบก็ยังเตะตาทีมงานด้วยเช่นกัน
ฝ่ายตามหาโลเคชั่น จาเร็ด คอนนอน เปิดเผยว่า "ตอนที่ เดเรค ยืนอยู่ข้างในประภาคารแล้วหันหน้าออกมามองสายน้ำแล้วเห็นโขดหินอยู่เบื้องล่าง เราก็รู้ในทันทีว่าเราเจอเกาะของเราแล้ว เดเรคชอบวิวของมันมาก เพราะมันดูเหมือนจุดที่มหาสมุทร 2 แห่งมาบรรจบกันพอดีเลย เกาะเจนัส เป็นเกาะที่มีส่วนผสมของแสงสว่างกับความมืด ความรักและความเกลียดชัง ความจริงกับความลวง มันเป็นสถานที่แห่งความสุขและความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน เป็นที่ที่มีทั้งชีวิตและการแตกดับ ผมตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะได้สร้างเกาะอันเป็นตำนานขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็น"
แม้แหลมแคมป์เบลจะไม่ใช่เกาะ แต่มันก็ให้ความรู้สึกหมือนถูกตัดขาดจากสังคมในเมือง ทางเดียวที่จะเข้ามาได้คือทางถนนซึ่งมีหนทางสลับซับซ้อน "ทั้งบรรยากาศและสภาพแวดล้อมโดยรวม มันไม่เหมือนสถานที่ถ่ายทำหนังที่เราเจอมาก่อนเลยครับ" คอนนอน ซึ่งเคยหาโลเคชั่นให้กับหนังดังอย่าง The Lord of the Rings และ The Hobbit กล่าว
![]()
ด้านฝ่ายออกแบบงานสร้างของ คาเรน เมอร์ฟี่ เธอต้องรับหน้าที่ตกแต่งภายในประภาคารให้ดูมีชีวิตชีวาและสวยงาม เธอเคยออกแบบในหนังเรื่อง The Great Gatsby มาก่อน "ฉันคิดว่าเราต้องตกแต่งภายในประภาคารให้ออกมาดูพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ เราจะตกแต่งมันให้กลายเป็นบ้านที่น่าอยู่ค่ะ ในขณะที่โลเคชั่นถ่ายหนังส่วนใหญ่อยู่ที่นิวซีแลนด์ ทีมงานได้แปลงโฉมเมืองสแตนลี่ย์ เมืองเล็ก ๆ บนเกาะทาสมาเนีย ให้กลายเป็นชายฝั่งของเมืองปาร์ทากีส ที่นี่มีประชากรอยู่ประมาณ 460 คน เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีบรรยากาศย้อนยุคเข้ากับเรื่องราวในหนังพอดี เมืองสแตนลี่ย์มีถนนสายหลักซึ่งค่อนข้างเงียบ เราสามารถใช้ที่แห่งนี้มาดัดแปลงเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังได้ และมันก็อยู่ติดเนินเขาพอดีกลายเป็นฉากหลังที่สวยงามทีเดียว"
นอกจากนั้น เซียนฟรานซ์ ยังทาบทาม อดัม อาร์คาพอว์ ผู้กำกับภาพมือดีที่เคยได้รางวัลเอมมี่ (Emmy) 2 สมัย ให้มารับหน้าที่อันทรงเกัยรติ เขายังได้ 2 มือตัดต่อชั้นดี รอน พาเทน และ จิม เฮลตัน ที่เคยร่วมงานกันมาใน The Place Beyond the Pines และ Blue Valentine มาช่วยลำดับภาพให้ และ อเล็กซานเดอร์ เดสปลาต์ เจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Grand Budapest Hotel ก็ตกลงมาทำดนตรีประกอบให้ด้วย
![]()
"สิ่งที่ทำให้เราทำงานกับ เดเรค ได้อย่างลุล่วง คือการที่เขาเข้าใจและเข้าถึงนิยายของ เอ็มแอล สเตดแมนเป็นอย่างดี" โปรดิวเซอร์ เจฟฟรี่ คลิฟฟอร์ด เล่า "สำหรับ เดเรค นี่ไม่ใช่การทำหนังธรรมดา เพรามันเป็นหนังที่เข้าตั้งมั่นไว้ว่าจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ แม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม"
และเซียนฟรานซ์เองก็หวังว่า เขาจะสามารถทำให้คนดูเข้าใจและเข้าถึงเรื่องราวการผจญภัยในหนังเรื่องนี้ได้เช่นกัน "ผมหวังว่าพวกเขาจะได้พบกับประสบการณ์แห่งความรักที่น่าจดจำ และหวังว่า คนดูจะถกเถียงกันถึงหนังเรื่องนี้ว่าพวกเขาเห็นตัวเองในตัวละครตัวไหน ใครทำถูก และทำไมพวกเขาถึงคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกด้วย" เซียนฟรานซ์กล่าวปิดท้าย
![]()
The Light Between Oceans อย่าปล่อยให้รักสลาย
8 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
