ข่าว > ข่าวดาราทั้งหมด > สัมภาษณ์ดารา

'มาตัง' วางเป้าหมาย หวังพ่อแม่สบาย

18 พ.ค. 2558 00:00 น. | เปิดอ่าน 1383 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

 

เรียกว่าแหวกท้องฟ้าไปสู่ตำแหน่งแชมป์ เดอะ สตาร์ คนที่ 11 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ มาตัง - ระดับดาว ศรีระวงศ์ สาวน้อยวัย 15 ปี จาก จ.อุดรธานี ที่มาพร้อมความสามารถทางการร้องเพลง และพลังใจอย่างล้นเหลือ วันนี้ "ดาวต่างมุม" เลยไม่รอช้า รีบคว้าตัวดาวดวงใหม่นี้มานั่งจับเข่าคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ทั้งเส้นทางชีวิตและตัวตน รับรองได้ว่าเมื่ออ่านจบ หลายคนคงหลงรักเธอมากขึ้นแน่นอน

ที่มา: ดาวต่างมุม เดลินิวส์


ทำไมเลือกมาประกวดเวทีเดอะสตาร์? 
จริง ๆ ก่อนก่อนหน้านี้หนูเคยไปประกวด เดอะ วอยซ์ คิดส์ กับรายการมาสเตอร์คีย์เวทีแจ้งเกิด และก็มีเข้าแข่งที่ จ.อุดรธานี มาก่อนค่ะ ส่วนที่หนูเลือกประกวดเวทีเดอะ สตาร์ เพราะเราเห็นตัวอย่างจากรุ่นพี่ว่ามีคนอยากดูการร้องเพลงของเรา มีคนมาคอยเชียร์ มีป้ายไฟ เราเลยรู้สึกอยากลองดูว่าถ้าได้ขึ้นเวทีนั้นบรรยากาศจะเป็นยังไง เลยได้มาประกวด ซึ่งตอนที่ขึ้นเวทีครั้งแรกจำได้เลยว่ารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ คือเราเพิ่งอายุเต็ม 15 เอง และเราก็อยากทำให้มันออกมาดีที่สุด ให้คนชื่นชอบผลงานของเราที่สุดค่ะ


ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะได้แชมป์มั้ย? 
ไม่เคยคิดไว้ขนาดนั้นเลยค่ะ เพราะเราเพิ่งมาประกวดเวทีนี้เป็นปีแรก ก็แค่อยากลองดูว่ากรรมการน่ากลัวรึเปล่า กดดันมากมั้ย จนกระทั่งเราได้เข้ามาถึงรอบ 8 คนสุดท้าย เลยรู้สึกว่าต้องตั้งใจและเต็มที่ ไม่ใช่แค่ลองดูบรรยากาศแล้ว เพราะมันเป็นของจริง พอเราคิดแบบนี้ก็ทำให้เราอยากทำผลงานในทุกสัปดาห์ออกมาดีที่สุด แต่ก็คิดแค่นั้น ไม่ได้คิดถึงกับว่าเป็นแชมป์ ส่วนวินาทีที่หนูได้แชมป์ตอนนั้นรู้สึกเหมือนเป็นความฝัน คือหนูไม่ได้คิดหวังที่จะได้แชมป์อย่างที่บอก มันก็ตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินเสียงประกาศชื่อของตัวเองนะ และก็ภูมิใจที่สามารถทำสิ่งที่พ่อกับแม่สนับสนุนเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ ให้ประสบผลสำเร็จได้ ส่วนตัวเราเองก็มีงานทำตั้งแต่เด็กด้วย มันเหมือนได้โอกาสดี ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ค่ะ


รู้สึกยังไงกับคำว่า เดอะ สตาร์หญิง คนที่ 2 ของประเทศ? 
มันก็ดูยิ่งใหญ่อลังการ (ยิ้ม) จริง ๆ มันใหญ่เกินกว่าที่หนูจะได้รับคำนี้นะ แต่หนูก็ดีใจที่คนใส่ใจและเห็นความสามารถของเด็กธรรมดาคนหนึ่ง รู้สึกขอบคุณจริง ๆ ค่ะ


ตอนช่วงการแข่งขันที่ในบ้าน เดอะ สตาร์ กดดันมากน้อยแค่ไหน? 
ด้วยความที่เราเป็นเด็ก เราก็กดดันกลัวว่าจะเข้ากับพี่ ๆ ไม่ได้ จนสุดท้ายเราทั้ง 8 คนก็เข้ากันได้ มีอะไรพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนเรื่องราวที่ประทับใจที่สุดระหว่างที่อยู่ในบ้านเดอะ สตาร์ คือช่วงที่เราได้มานั่งกินข้าวด้วยกันกับเพื่อน ๆ มีปัญหาอะไรก็มานั่งคุยกัน มันเหมือนการเปิดใจ ใครเครียดก็มานั่งคุยกัน ทำให้เรายอมรับและปรับตัวเข้าหากันได้มากกว่าเดิม ซึ่งตอนแข่งขันก็มีช่วงที่หนูท้อ แต่พอนึกถึงวันที่เราเริ่มมาออดิชั่น นึกถึงคนที่เขาอยากดูการแสดงของเรา ก็ทำให้เรารู้สึกตั้งใจ อย่าถอย

 

 

หากให้เปรียบตัวเองเป็นเพลงที่เอามาประกวด คิดว่าชีวิตของมาตังเข้ากับบทเพลงไหนมากที่สุด? 
เพลง "สักวันต้องได้ดี" ค่ะ ด้วยความที่เราอยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก ๆ และอยากจะหาเงินมาสร้างบ้านให้พ่อแม่ เพลงนี้เลยเป็นแรงบันดาลใจให้หนูทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ คือเราทำให้เต็มที่ หนูเชื่อว่าสักวันมันต้องได้ในสิ่งที่หนูอยากได้ค่ะ


มาตังมักได้รับคำชมจากคณะกรรมการ มีช่วงที่เหลิงกับคำชมนั้นมั้ย? 
ไม่เหลิงค่ะ ถ้าเป็นการชมหนูจะเก็บไว้เป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดันทำให้หนูตั้งใจทำสัปดาห์ต่อไปให้ดี ส่วนคำติ อย่างในสัปดาห์แรกที่พี่เพชร (มาร์) บอกว่าผิดหวังในตัวเรา มันยังไม่สมบูรณ์แบบ หนูก็เอาคำนั้นมาเก็บไว้ และพยายามทำสัปดาห์ต่อไปให้เขารู้สึกสมกับที่หวังในตัวเรา ทำให้สมบูรณ์แบบที่สุดมากกว่าค่ะ


มีคำสอนจากคณะกรรมการคนไหน ที่เรายึดเก็บมาใช้บ้าง? 
ทุกคำสอนเลยค่ะ แต่ที่หนูจดจำมากที่สุดก็คือที่บอกให้หนูเป็นเหมือนเดิมแบบนี้ มาตังเข้ามาเป็นแบบไหน ออกไปก็ต้องเป็นแบบนั้น ต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง อย่าเหลิงในแสงสีเสียง ให้เราตั้งใจทำงานทุกอย่าง เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จ ถามว่าใจหนูกลัวเหลิงไปกับชื่อเสียงบ้างมั้ย เอาจริง ๆ หนูก็กลัวนะคะ แต่เราก็ต้องคอยเตือนสติของตัวเองเสมอว่าเราเป็นใคร เกิดมาจากจุดไหน ต้องเตือนตัวเองตลอดเวลาก่อนทำอะไร ส่วนคติประจำใจของหนู คือเหนื่อยในวันนี้ จะสบายในวันหน้า คำนี้แม่เป็นคนสอนค่ะ และคำสอนของแม่คำนี้มีส่วนที่ทำให้หนูสามารถคว้าแชมป์ได้ เพราะแต่ละสัปดาห์มันมีการฝึกซ้อมทุกวัน เหนื่อยทุกวัน ดังนั้นเราก็ต้องยอมเหนื่อยให้ผลงานออกมาดีค่ะ


ณ วันนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จรึยัง? 
ตอนนี้คิดว่ายังค่ะ เพราะสิ่งที่หนูอยากทำมันยังมีอีกเยอะ ยังมีอะไรที่ต้องผ่านเข้ามาในชีวิตอีกมากมาย สำหรับ ณ วันนี้หนูว่าตัวเองก็ยังไม่ถึงกับเป็นศิลปินนะ เพราะศิลปินตามความเข้าใจหนูคือทุกอย่างนั้นสมบูรณ์แบบ เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ มีงานทำ มีเงิน มีจุดยืนที่มั่นคง แต่หนูเหมือนเป็นนักร้องฝึกหัดที่ยังต้องเรียนรู้ และพัฒนาอีกเยอะค่ะ

 

 

ตอนนี้เหมือนเราก็เข้าสู่วงการบันเทิงเต็มตัว ชีวิตเปลี่ยนแปลงแค่ไหน? 
จริง ๆ ตอนที่อยู่ในบ้านเดอะ สตาร์ เราไม่รู้ถึงกระแสภายนอก แต่พอออกมาเราก็ได้รู้ถึงกระแสที่มีต่อเรา ได้ออกมาขอบคุณแฟนคลับด้วยตัวเอง ได้มารู้จักคนที่เราไม่เคยพบ ทำให้หนูได้มีการเรียนรู้ไปในตัวด้วย และต้องปรับตัวพอสมควร คือหนูต้องโตขึ้น ขยัน มีวินัย และต้องเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ให้เข้ามาสู่ตัวเอง ส่วนวิธีรับมือกับชีวิตในวงการ อย่างเรื่องเวลาถ้าต้องทำงานและเรียนไปด้วย หนูคงต้องแบ่งเวลาให้ถูก และคงต้องขยันและอดทนให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะเราเลือกทางนี้แล้ว จริง ๆ ตอนแรกเราไม่คิดว่าจะมีงานทำเร็วขนาดนี้ ก็ต้องเตรียมพร้อมรับให้ดี ต้องยอมรับในความเหนื่อยที่จะตามมาด้วย ส่วนเรื่องเสียงวิจารณ์ในวงการ หากไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นก็ไม่ได้เอามาคิดหรือใส่ใจจนทำให้ตัวเองเครียดค่ะ


ต่อจากนี้จะมีผลงานอะไรให้แฟน ๆ ได้ติดตามบ้าง? 
จริง ๆ หนูก็อยากทำเพลงไปก่อน ส่วนตัวหนูชอบเพลงร็อกแนวดีว่า เพราะหนูเป็นคนที่บ้าคลั่งมาก (ยิ้ม) ส่วนงานแสดง พิธีกร หรืออะไรอื่น ๆ หนูก็แล้วแต่ผู้ใหญ่เห็นสมควรและเปิดโอกาส คือหนูก็ชอบดูซิทคอมหรืออะไรที่ตลก ๆ นะคะ ถ้าผู้ใหญ่ให้โอกาสหนูก็พัฒนา และลองแสดงซิทคอมดูบ้าง อยากเล่นแนวคอมเมดี้ เพราะหนูเป็นคนชอบเห็นรอยยิ้ม การฟังเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างมันก็ทำให้เรามีความสุขค่ะ


ปัจจุบันวงการบันเทิงก็มีนักร้อง นักแสดงมากมาย มาตังมีความคาดหวังชีวิตในวงการมากแค่ไหน? 
หนูแค่อยากหาเงินให้พ่อแม่ และอยากมีจุดยืนที่มั่นคง มีงานมีเงินมีทุกอย่างที่ลงตัวแล้ว และก็อยากทำคอนเสิร์ตของตัวเองที่ไม่ต้องใหญ่มาก แต่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด มีการเชิญนักร้องที่เราชื่นชอบมาร่วมเวทีด้วยค่ะ ส่วนความฝันสูงสุดที่ตั้งไว้ คือการหาเงินสร้างบ้านให้พ่อกับแม่ค่ะ เพราะหนูรู้สึกว่าคำว่าเดอะ สตาร์ ที่แปลว่าดวงดาวสำหรับหนูก็คือครอบครัว หนูก็อยากทำให้ครอบครัวสบาย ตอนที่หนูได้แชมป์คุณพ่อคุณแม่ก็ดีใจ บอกว่าภูมิใจกับลูก ไม่เสียแรงที่เขาคอยสนับสนุน คอยเสียเงินให้เรามากรุงเทพฯ เพื่อมาแข่งขัน

 

 

มีไอดอลในดวงใจบ้าง มั้ย? 
ไอดอลหนูคือพี่เบิร์ด - ธงไชยค่ะ พี่เขาเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิต และตัวอย่างเส้นทางในการร้องเพลง เขาก็เคยบอกหนูว่าเวลาที่ท้อหรือเหนื่อย ให้นึกถึงวันแรกที่เราร้องเพลง นึกถึงความสุขจากการที่เราร้องเพลง ส่วนการดำเนินชีวิต พี่เบิร์ดก็สอนให้เราตั้งใจ ทำในสิ่งที่เรารักและมีความสุขไปกับมัน อย่าเหลิงให้คงความเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ซึ่งตอนที่ประกวดหนูได้เจอพี่เบิร์ดตัวจริงด้วย ตอนนั้นหนูร้องไห้เลยค่ะ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ร้องเพลงคู่กับพี่เบิร์ด มันตื้นตัน น้ำตามันไหลไม่หยุด สิ่งที่หนูได้เรียนรู้จากพี่เบิร์ดคือการวางตัว เวลาที่พี่เขาอยู่กับแฟนคลับเขาจะเฟรนด์ลี่มาก พี่เบิร์ดให้ความสำคัญกับทุกคน แค่พนักงานกวาดถูบ้าน เขาก็จำได้ค่ะ เราก็รู้สึกประทับใจค่ะ


เป็นเด็กน้อยแบบนี้ มีเรื่องความรักกับเขารึยัง? 
ยังไม่มีเลยค่ะ ถ้าพูดถึงความรักหนูพูดในแง่ของแฟนคลับมากกว่า อยู่ดี ๆ หนูก็รักแฟนคลับแบบไม่รู้ตัว คือแฟนคลับเขาดีมากเลยค่ะ เขาน่ารักมาก ใส่ใจทุกรายละเอียด คอยปกป้องเราเวลาเราโดนโจมตี และแก้ตัวให้เราด้วย ตอนแรกที่เรามีแฟนคลับเป็นของตัวเองก็รู้สึกตกใจเหมือนกันนะคะ (ยิ้ม) และรู้สึกอยากรักษาพวกเขาไว้ให้ดี ๆ อยากรักษาผลงานของตัวเองให้เขาติดตามกันเรื่อย ๆ ตอบแทนความรักพวกเขาค่ะ


ท้ายสุดฝากอะไรถึงแฟนคลับหน่อย? 
อยากขอบคุณจริง ๆ ค่ะที่คอยให้กำลังใจตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน คอยตามไปทุกที่เลย คอยซื้อของให้ จนเรารู้สึกเริ่มเกรงใจ ยังไงก็ตามหนูจะพยายามทำผลงานให้ดี ๆ และอยากให้ติดตามกันต่อไป อยู่กันอย่างนี้ไปนาน ๆ ค่ะ

 

: มาตัง ระดับดาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • พลพล–มาตัง–มีนตรา–อิสร์ ร่วมแสดงคอนเสิร์ต ในงานเทศกาลไทย ครั้งที่ 20 สานสัมพันธ์ไทย – ญี่ปุ่น ณ กรุงโตเกียว
  • “มาตัง” พลังเว่อร์!! อินจัดมิวสิคสตอรี่ “ดีต่อใจ” เล่นใหญ่ชงเพื่อนบอกรักรุ่นพี่
  •  
     
     
    ร่วมแสดงความคิดเห็น
     
    ชื่อ :
     
    ความคิดเห็น :