ข่าว > ข่าวดาราทั้งหมด > ข่าวดาราเทศ

ผกก.ดีกรีออสการ์-เจ้าของบทผู้สร้าง Jurassic Park “ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์” สิ้นแล้ว

25 ส.ค. 2557 13:39 น. | เปิดอ่าน 1373 | แสดงความคิดเห็น
แชร์หน้านี้ แชร์หน้านี้
 

 “ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์” ที่มีผลงานทั้งการกำกับภาพยนตร์ถึงขั้นคว้าออสการ์มาแล้ว และยังมีบทบาทการแสดงในหนังมากมาย รวมถึงการรับบทเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของ Jurassic Park ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 90 ปี 
       
       แม้จะมีผลงานการกำกับภาพยนตร์เพียงสิบกว่าเรื่อง แต่ ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับดีกรีรางวัลออสการ์ ด้วยผลงานที่ว่าด้วยชีวประวัติของ มหาตมา คานธี ที่เข้าฉายเมื่อปี 1982 และในเวลาเดียวกันเขาก็ยังมีผลงานการแสดงในภาพยนตร์มากมายในตลอด 70 ปี ทีโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง อาทิ Brighton RockThe Great Escape และ Dr. Doolittle แต่บทที่น่าจะทำให้ผู้คนในยุคนี้จดจำ แอทเทนเบอเรอห์ ได้มากที่สุด ก็น่าจะเป็นตัวละครมหาเศรษฐี จอห์น แฮมมอนด์ ในหนัง Jurassic Park ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เมื่อปี 1993 นั่นเอง
       
       ซึ่งล่าสุด BBC ได้รายงานว่า ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ส.ค. ด้วยวัย 90 ปี จากอาการเจ็บป่วยตามวัย โดยเขาเสียชีวิตลงก่อนจะถึงวันเกิดปีที่ 91 ของตัวเองเพียง 5 วันเท่านั้น
       
       ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ เกิดที่เคมบริดจ์ อังกฤษ ในวันที่ 29 ส.ค. 1923 และเริ่มมีโอกาสสัมผัสกับงานภาพยนตร์เป็นครั้งแรกระหว่างเป็นทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในหน่วยผลิตภาพยนตร์ของกองทัพ จนได้มีโอกาสเดินทางไปทั่วยุโรปกับหน่วยเพื่อเก็บภาพสงครามครั้งนั้นเอาไว้ ก่อนจะได้เล่นหนังเรื่องแรกตอนอายุ 19 ปี ในภาพยนตร์แนวสงครามเรื่อง Which We Serve ที่ได้ชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์เมื่อปี 1942 ด้วย
       
       หลังจากนั้นอีก 60 ปีต่อมา แอทเทนเบอเรอห์ จึงได้มีผลงานการแสดงอย่างต่อเนื่องรวมแล้วถึงมากกว่า 70 เรื่องเลยทีเดียวรวมถึงหนังคลาสสิคอย่าง The Great Escape จนถึง The Lost World ซึ่งเป็นภาคต่อของ Jurassic Park และหนังคริสต์มาส Miracle on 34th Street ฉบับรีเมก
       
       อย่างไรก็ตามแม้จะมีผลงานการแสดงอยู่ไม่น้อย แต่ ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ กลับได้รับการจดจำว่าเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ที่มีผลงานน่าประทับใจอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่เขาจะกำกับหนังออกมาไม่มากนักก็ตาม โดยส่วนใหญ่ผลงานเด่นของ แอทเทนเบอเรอห์ จะเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวชีวิตจริงของบุคคลสำคัญของโลกไม่ว่าจะเป็น Young Winston ที่พูดถึงชีวิตวัยหนุ่มของ วินสตัน เชอร์ชิลChaplin หนังเกี่ยวกับนักแสดงตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฮอลลีวูด และ Gandhi ภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวในชีวิตของ มหาตมา คานธี ซึ่งคว้ารางวัลจากสถาบันต่างๆ มากมายรวมถึงออสการ์ใน 8 สาขาเมื่อปี 1983 ด้วย
       
       Gandhi เล่าเรื่องอย่างเรียบๆ ด้วยภาษาหนังแบบภาพยนตร์ในยุคเก่า เพื่อฉายภาพชีวิตในช่วง 50 ปี ของ คานธี จนอาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มอบความบันเทิงอันหวือหวาให้กับคนดู แต่นักวิจารณ์ต่างชื่นชมการนำเสนอเรื่องราวได้สมจริงสมจังของ ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ นอกจากนั้นเขายังต้องทุ่มเทอย่างหนักในการสร้างหนังที่ใช้ทุนสร้างประมาณ 13 ล้านปอนด์ที่ถือว่าสูงมากในยุคนั้น และยังได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาคนดังมากมายที่ร่วมสนับสนุนทุนสร้าง จนสุดท้ายหนังก็ประสบความสำเร็จทำรายได้ถึง 50 ล้านเหรียญฯ และยังได้รับการยกย่องโดยเฉพาะในแง่การนำเสนอเหนือหาว่าด้วยการต่อสู้แบบอหิงสา เช่นเดียวกับการแสดงของดาราหนุ่มชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดีย เบน คิงส์ลีย์ ที่ไม่ได้โด่งดังอะไรนักในตอนนั้น แต่กลับสวมบทบาท คานธี ได้อย่างน่าทึ่ง จนต่อมาได้โด่งดังเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทอีกคนของวงการด้วย
       
       โดย แอทเทนเบอเรอห์ มีผลงานการกำกับภาพยนตร์อยู่ 12 เรื่องและหนังเรื่องสุดท้ายก็คือ Closing the Ring หนังรักเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เข้าฉายเมื่อปี 2007
       
       70 ปีในวงการบันเทิง แอทเทนเบอเรอห์ คว้ารางวัล BAFTA และ Golden Globes ได้ถึงอย่างละ 4 ตัว นอกจากนั้นยังเคยนั่งเก้าอี้ประธานของ Royal Academy of Dramatic Art, เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยUniversity of Sussex, ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลกองทุนของ Tate Gallery, เคยเป็นทูตสันถวไมตรีของ UNICEF และยังได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินในปี 1976 ก่อนที่พระนางเจ้าอลิซาเบ็ธที่ 2 จะตั้งเป็น บารอน ในปี 1993
       
       ซึ่งหลังมีข่าวการเสียชีวิตของ ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ ผู้คนในวงการต่างๆ ก็ได้ออกมาไว้อาลัยให้กับการจากไปของเขามากมาย ทั้งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด แคเมอรอน ที่บอกว่าเขาคือบุคลากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกภาพยนตร์ ทั้งในแง่ฝีมือการแสดง และในฐานะผู้กำกับหนัง ส่วน เบน คิงส์ลีย์ ที่แจ้งเกิดได้จากหนังของ แอทเทนเบอเรอห์ ก็รำลึกถึงความหลังว่า “เขามั่นใจในตัวผมสำหรับงานที่ยากมาก และเป็นงานที่เขาใฝ่ฝันอยากทำมาตลอด และใช้เวลาร่วม 20 ปี ในการทำหนังเรื่องนี้ให้เป็นความจริงขึ้นมา ซึ่งวินาทีที่เขามอบบท คานธี ให้ผมถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี และปลื้มปิติมากจริงๆ เขามอบความไว้วางใจอย่างไร้ข้อแม้ให้กับผม จนผมเองก็เริ่มมั่นใจในตัวเขาเช่นเดียวกัน”
       
       และนอกจากงานด้านภาพยนตร์แล้ว แอทเทนเบอเรอห์ ยังได้ชื่อว่าเป็นแฟนตัวจริงของสโมสรฟุตบอล เชลซี เอฟซี และเคยทำหน้าที่ผู้อำนวยการสโมสรมาแล้วระหว่างปี 1969 – 1982 ก่อนจะได้รับเกียรติให้นั่งตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรมาแล้ว โดยทางเชลซี ก็ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจในการจากไปของ แอทเทนเบอเรอห์ ด้วยว่า “ในชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างยาวนาน เขามักจะหาเวลาให้สิ่งที่เขารักเสมอ และหนึ่งในสิ่งที่เขารักที่สุดก็คือสโมสรฟุตบอลเชลซี จนภาพของเขาอยู่คู่กับสโมสรมาตลอดในหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาจึงถือเป็นแรงผลักดันในด้านบวกให้กับเราเสมอ แม้แต่ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดก็ตาม”
       
       ด้านชีวิตส่วนตัว ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ แต่งงานกับนักแสดงหญิง เชลลา ซิม มาตั้งแต่ปี 1945 และมีลูกด้วยกัน 2 คน นอกจากนั้น แอทเทนเบอเรอห์ ยังมีน้องชายที่ชื่อว่า เดวิด แอทเทนเบอเรอห์ ที่เป็นนักธรรมชาติวิทยาชื่อดังด้วย

ขอบคุณข่าวจาก :: http://www.manager.co.th/

:

 
 
 
ร่วมแสดงความคิดเห็น
 
ชื่อ :
 
ความคิดเห็น :