เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ? มันเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในความคิดของพ่อแม่ทั่วโลกที่พยายามจะเลี้ยงลูกวัยรุ่นของตัวเอง และก็เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในความคิดของ "พีท ด็อคเตอร์" ผู้กำกับรางวัลออสการ์ ในตอนที่เขาเฝ้ามองลูกสาวของเขาเติบโตขึ้นเช่นกัน
"ลูกสาวผมเคยพากย์เสียง เอลลี วัยเด็กใน Up เด็กซุกซนที่มีผมกระเซอะกระเซิงคนนั้นน่ะครับ แล้วตอนนั้นเธอก็เหมือนตัวละครตัวนั้นมาก แต่ในตอนที่เราเริ่มต้นทำงานใน Inside Out โตขึ้นแล้วประมาณ 11 ขวบได้ แล้วเธอก็เริ่มเก็บตัวมากขึ้น เงียบขรึมมากขึ้น มันทำให้ผมคิดว่า เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ แล้วทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปล่ะ น่ะครับ"
แต่ด็อคเตอร์ก็จำถึงช่วงเวลานั้นในชีวิตของตัวเองได้ "มันเป็นเรื่องใหญ่ครับ" เขาบอก "ฟองน้ำความใสซื่อบริสุทธิ์ของวัยเด็กจะแตกออก และคุณก็จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองต้องก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่คุณถูกตัดสินและถูกคาดหวังให้ทำตัวแบบใดแบบหนึ่ง คุณอยากทำตัวเจ๋ง แต่คุณก็ไม่ค่อยใจว่ามันหมายความว่าไงน่ะครับ"
ได้เวลาที่อารมณ์จะทำงานแล้ว
ตั้งแต่เริ่มต้น ด็อคเตอร์ชื่นชอบไอเดียของการล้วงลึกเข้าไปในจิตใจ และท้าทายจินตนาการของทีมผู้สร้างชุดเดียวกับที่เคยพาผู้ชมไปสู่เมืองมอนสโทรโพลิส ก่อนจะพาผู้ชมไปเยือนดินแดนอเมริกาใต้ด้วยบ้านที่ลอยตัวด้วยลูกโป่ง "ผมคิดว่ามันคงจะสนุกดี" ผู้กำกับกล่าว "ผมอยากจะสำรวจเวอร์ชันแอ็บสแทร็คของความคิด ไม่ใช่ส่วนสมอง ผมคิดว่ามันน่าจะเพอร์เฟ็กต์สำหรับอนิเมชัน และถ้ามันจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอารมณ์ ที่สร้างขึ้นโดยทีมงานชุดเดียวกับเรื่อง ‘Up’ ล่ะก็ มันคงจะสะเทือนอารมณ์น่าดูครับ"
ท้ายที่สุดแล้ว ไอเดียของการทำให้อารมณ์เป็นตัวละครก็จุดประกายให้เกิดเรื่องราวของ "Inside Out" โดยมี ไรลีย์ ลูกสาวของเขาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับ ไรลีย์ เด็กหญิงชาวมิดเวสเทิร์นผู้ชื่นชอบฮ็อกกี้วัย 11 ขวบ ผู้ซึ่งชีวิตเธอเต็มไปด้วยความสุขจนกระทั่งครอบครัวของเธอย้ายไปอยู่เมืองใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างซานฟรานซิสโก อารมณ์ของเธอ ที่นำทีมโดย ความสุข ผู้เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ก็เริ่มทำงาน ด้วยความกระตือรือร้นที่จะช่วยนำพาไรลีย์ผ่านการปรับตัวที่ยากลำบากนี้ แต่แม้ว่าชีวิตของไรลีย์จะเป็นสิ่งที่ทำให้อารมณ์ของเธอมีเป้าหมาย ทีมผู้สร้างก็บอกว่า "Inside Out" ไม่ใช่เรื่องราวของไรลีย์ซะทีเดียว
"มันเป็นเรื่องราวที่เป็นส่วนตัวมากๆ เกี่ยวกับความหมายของการเป็นพ่อแม่ครับ ฐานะพ่อแม่ มันมีช่วงเวลาเพอร์เฟ็กต์มากมายที่ผมอยากจะทำให้เวลาหยุดนิ่งชั่วนิรันดร์ แต่มันไม่ถูกต้อง นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือการเป็นผู้นำทางให้กับพวกเขาครับ" ผู้อำนวยการสร้างโจนาส ริเวรากล่าว และด็อคเตอร์กล่าวเสริม "ในตอนที่ลูกๆ เราโตขึ้น เราก็มักจะนึกถึงวันเวลาที่พวกเขายังเล็ก และจะนั่งบนตักเรา กอดเรา แม้ว่าพ่อแม่ทุกคนจะอยากให้ลูกๆ ออกไปสู่โลกกว้าง คือผมมีความสุขกับลูกๆ ของผมและไม่อยากได้อะไรอื่นนอกจากพวกเขาในตอนนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องหวานปนขมและเศร้านิดๆเมื่อวัยเด็กของพวกเขาผ่านพ้นไป นั่นเป็นองค์ประกอบสำคัญของหนังเรื่องนี้ครับ"
ดังนั้น ทีมผู้สร้างก็เลยเลือก ความสุข ผู้ชื่นชอบการกระโดดโลดเต้นและมีรัศมีส่องสว่าง เต็มไปด้วยความคิดแง่บวก ให้รับหน้าที่แสนยุ่งยากในการเลี้ยงดูไรลีย์ ร่วมกับอารมณ์อื่นๆ ที่ช่วยนำเสนอมุมมองที่โดดเด่นของตัวเอง "ความสุขอยู่มานานที่สุด เพราะไรลีย์เกิดมาเป็นเด็กที่มีความสุขครับ" ริเวรากล่าว "แต่การย้ายบ้านข้ามประเทศเป็นเรื่องน่าเศร้าและความสุขก็พบว่าตัวเองมีเวลาควบคุมทุกอย่างน้อยลงๆ เรื่อยๆ เธอไม่สามารถปล่อยให้ความเศร้ามาทำลายงานหนักที่เธออุตส่าห์ทำมาตลอดหลายปีได้หรอกครับ"
การเดินทางที่เกิดขึ้นระหว่างความสุขและความเศร้าเป็นประสบการณ์ที่ช่วยเปิดตาเธอ "ความสุขตระหนักว่าบางที ความเศร้าอาจมีความสำคัญในชีวิตของไรลีย์ก็ได้" ด็อคเตอร์กล่าวว่า "กุญแจไปสู่ความสุข ทั้งในภาพยนตร์เรื่องนี้และในชีวิตจริง อยู่ที่ว่าคุณให้คำนิยามมันอย่างไร "ความสุขสามารถเรียนรู้ เติบโตและมองในสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นความสุขใหม่ได้" เขากล่าว
"ในตอนเริ่มต้น ความสุขคือเสียงหัวเราะและไอศกรีม และมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับ แต่ชีวิตแสดงให้เราเห็นว่ามันเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น ในตอนที่ผมสร้างหนังเรื่องนี้ ผมตระหนักว่าครอบครัวและเพื่อนสนิทคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข" เขากล่าวต่อ "แน่นอนครับพวกเขาคือกลุ่มคนที่ผมได้ใช้เวลาสนุกสนานเฮฮาด้วยกัน แต่พวกเขาก็เป็นคนที่ผมโกรธ กลัวและเศร้าไปกับพวกเขาด้วย ความลึกซึ้งและซับซ้อนของอารมณ์ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำให้เกิดความผูกพันจริงๆ ระหว่างมนุษย์เราครับ"