ตั้งแต่ต้นปี 2558 มีหนังไทยเข้าฉายแล้วกว่า 20 เรื่อง แต่กลับทำรายได้รวมไม่ถึง 70 ล้านบาท ตกต่ำที่สุดในรอบหลายปีจนกลายเป็นคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับวงการภาพยนตร์ไทย
การนำเสนอเนื้อเรื่องที่เจาะกลุ่มผู้ชมและได้รับคำวิจารณ์แง่บวก ทำให้ภาพยนตร์นอกกระแสอย่าง ฟ.ฮีแลร์และพี่ชาย My Hero เป็นความหวังวงการหนังไทยในการเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ชม หลังจากครึ่งปีที่ผ่านมาภาพยนตร์ไทยทำรายได้ขาดทุนเกือบทั้งหมดที่เข้าฉายกว่า 20 เรื่องและทำรายได้รวมเพียง 70 ล้านบาทเท่านั้น
มีเพียงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่างตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เงินถึงหลัก 100 ล้านบาท แต่ก็เป็นภาคต่อที่มีรายได้น้อยที่สุดเช่นกัน มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ชมจำนวนไม่น้อยที่มองว่าปัจจุบันหนังไทยมีคุณภาพลดลง ทั้งในแง่ของการแสดง การถ่ายทำ การกำกับ รวมถึงบทภาพยนตร์ที่ไม่แข็งแรงนัก ทั้งยังมีผลการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่พบว่าในแต่ละปีคนไทยดูหนังในโรงน้อยลง เนื่องจากรายได้สวนทางกับราคาตั๋วหนัง
แม้มีการนำภาพยนตร์ดังในอดีตมาทำใหม่ แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ถึงความสำเร็จ เช่นหนังวัยรุ่น ฉลุยแตะขอบฟ้า ที่ทำรายได้เปิดตัวไม่ถึง 200,000 บาท แม้จะเป็นผลงานของผู้กำกับคนเดิม อดิเรก วัฏลีลา และมีซุปเปอร์สตาร์เคป็อปชาวไทย นิชคุณ หรเวชกุล ร่วมแสดง ส่วนหนึ่งวิเคราะห์กันว่าเป็นเพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ชมเข้าไม่ถึงเนื้อหาของภาพยนตร์ขายฝันเหมือนในอดีต ทั้งยังคาดเดาแนวทางของเรื่องได้
ก่อนหน้านี้ยังเคยมีวิวาทะในงานเสวนาเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยและสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ว่าเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังไทยตกต่ำ เป็นเพราะไม่ได้หยิบวัตถุดิบที่มีคุณภาพมาทำหนัง ซึ่งนั่นอาจช่วยสร้างความแปลกใหม่และน่าสนใจมากขึ้นในภาวะที่ต้องต่อสู้กับภาพยนตร์จากต่างประเทศ
การเข้าฉายของภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ในปลายปี 2558 อาจทำให้ความหวังของหนังไทยที่จะเติบโตยิ่งริบหรี่ แม้จะมีผลงานของผู้สร้างหนังอิสระอย่าง นวพล ธำรงค์รัตนฤทธิ์ ที่ร่วมกับสตูดิโอใหญ่ออกฉายและเป็นหนึ่งในความหวังภาพยนตร์ทำรายได้ของปี 2558 แนวทางหนึ่งที่จะทำให้หนังไทยอยู่รอดได้ จึงเป็นการลดทุนสร้างและเจาะกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เนื่องจากตลาดผู้ชมหนังไทยมีจำกัด ทำให้คาดการณ์ว่าในอนาคตหนังไทยอาจเหลือเพียงภาพยนตร์ฟอร์มเล็กหรือหนังนอกกระแสเท่านั้น
ที่มา thaipbs.or.th