หลังจากความสำเร็จอย่างมหาศาลที่ยังไม่เคยมีภาพยนตร์ไทยเรื่องใดในประวัติศาสตร์เคยทำได้มาก่อนของ "สุริโยไท" ภาพยนตร์ดราม่าเชิงประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยเกียรติประวัติและความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระศรีสุริโยไท วีรสตรีผู้หาญกล้าที่ได้รับการยกย่องในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคลหรือท่านมุ้ย ได้ทรงถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มและออกฉายในปีพุทธศักราช 2544
ไม่มีใครคาดคิดว่าทันทีที่ภาพยนตร์เรื่องสุริโยไทออกฉายเป็นที่ประจักษ์สายตาต่อผู้ชมคือจุดเริ่มต้นของย่างก้าวต่อมาที่เรียกได้ว่าจะกลายเป็นบันทึกครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยที่เรียกได้ว่าเป็นย่างก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติชีวิตการสร้างภาพยนตร์ของ "ท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล" ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นการเตรียมงานสร้าง ค้นคว้าข้อมูลหลักฐานต่างๆ ตลอดจนพงศาวดาร จดหมายเหตุ ย้อนกลับไปของประวัติศาสตร์ในอดีตตลอดช่วงระยเวลากว่า 4 ศตวรรษที่ดำเนินต่อเนื่องมาตราบจนปัจจุบันทั้งที่ได้รับการบันทึกและไม่เคยถูกบันทึกมาก่อนจากหลักฐานที่มีอยู่จริงที่เป็นลายลักษณ์อักษร คำบอกกล่าวหรือเรื่องราวที่มีการเล่าขานต่อเนื่องกันมาทั้งในประเทศและต่างประเทศทั้งในส่วนของไทยเอง พม่า ชนกลุ่มน้อยใหญ่ รวมไปถึงบันทึกของชาวตะวันตกที่ได้แวะเวียนเข้ามาในแต่ละช่วงเวลาในแต่ละยุคสมัยที่เอ่ยอ้างและกล่าวถึง "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" กษัตริย์นักรบวีรบุรุษผู้ห้าวหาญผู้ซึ่งรวบรวมปึกแผ่นผืน ดินเป็นหนึ่งเดียว พร้อมกับประกาศอิสรภาพ ความเป็นไทจนเกิดเป็นประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้
ยังไม่รวมกับการที่ท่านมุ้ย พร้อมด้วย รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ที่ปรึกษาและผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ได้ออกเดินทางตามรอยประวัติศาสตร์ออกสำรวจและเข้าไปสัมผัสในทุกพื้นที่และดินแดนต่างๆที่เคยเกิดขึ้นจริงเพื่อรวบรวมหลักฐานและเกร็ดข้อมูลทางประวัติศาสตร์และข้อถกเถียง ตลอดจนสมมติฐานต่างๆอันนำไปสู่การเตรียมงานสร้างภาพยนตร์ไทยอิงประวัติศาสตร์ระดับตำนาน เพื่อเตรียมเนรมิตรภาพในประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยมีใครได้เคยเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวให้ออกมาใกล้เคียงความเป็นจริงในที่สุด ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการบันทึกว่าเป็นโปรเจกต์ภาพยนตร์แอ็คชั่นอิงประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าภาพยนตร์เรื่องใดในอดีต ในทุกๆด้านรวมทั้งผลงานระดับมาสเตอร์พีซก่อนหน้าของท่านอย่าง "สุริโยไท" นับตั้งแต่ทุนสร้าง, จำนวนนักแสดงหลักเหล่าและนักแสดงสมทบ ตลอดจนบรรดาซูเปอร์สตาร์ระดับแนวหน้าของเมืองไทยมากที่สุดและนักแสดงสมทบที่ร่วมเข้าฉากมากมายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนร์จากจำนวนนับหมื่นคนยังไม่รวมจำนวนช้างม้าวัวควายและสัตว์ต่างๆที่ต้องเข้าฉากอีกมากมาย
ภายหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องสุริโยไทเข้าฉาย หลังจากนั้น3ปีต่อมา "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ภาคแรกที่ใช้ชื่อว่า "องค์ประกันหงสา" จึงได้เริ่มต้นทำเปิดกล้องถ่ายทำพร้อมด้วยพิธีบวงสรวงขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 11 ธ.ค. 2547 ที่กองพลทหารราบที่ 9(ค่ายสุรสีห์) ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรีที่ถูกเนรมิตรให้เป็นเมืองอโยธยาเมื่อราว 400 กว่าปีก่อน โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีบวงสรวงเปิดกล้องภาพยนตร์ และทรงทอดพระเนตรการถ่ายทำโดยมีนักแสดงเข้าร่วมฉากถ่ายทำกว่า 1,000 คน และหลังจากนั้นได้มีการถ่ายทำอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงต้นปี พ.ศ. 2558 ก่อเกิดเป็นภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ที่มาพร้อมด้วยจำนวนภาคต่อของภาพยนตร์ที่มีการถ่ายทำที่ตั้งใจไว้จากเดิม 3 ภาคกลายเป็น 6ภาค โดยมีเหล่านักแสดงคุณภาพทุกรุ่นทั่วฟ้าเมืองไทยจากในอดีตจนถึงปัจจุบันร่วมเป็นส่วนหนึ่งและถ่ายทอดการแสดงในบทบาทและตัวละครต่างๆทั้งที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์และที่ถูกเพิ่มขึ้นมาในภาพยนตร์
ด้วยระยะเวลาในการถ่ายทำยาวนานต่อเนื่องกว่า 14 ปี นับตั้งแต่การเริ่มต้นเตรียมงานสร้างและใช้เวลาในการถ่ายทำอย่างยาวนานกว่าทศวรรษจาก "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช : องค์ประกันหงสา" ปฐมบทของวีกรรมอันยิ่งใหญ่ของตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตามมาด้วย "ประกาศอิสรภาพ" ในภาคที่ 2, "ยุทธนาวี"ในภาคที่ 3 ต่อเนื่องด้วย "ศึกนันทบุเรง" ในภาคที่ 4 และ "ยุทธหัตถี" ในภาคที่ 5 จนกล่าวได้ว่านี่คือภาพยนตร์ไทยเรื่องสุดท้ายที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าใช้ระบบการถ่ายทำด้วยกล้องฟิล์มภาพยนตร์
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 ตอน องค์ประกันหงสา
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 ตอน ประกาศอิสรภาพ
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 ตอน ยุทธนาวี
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 ตอน ศึกนันทบุเรง
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 ตอน ยุทธหัตถี