การเดินทางของอีธาน ฮันท์
ตลอดระยะเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมา ทอม ครูซได้อำนวยการสร้าง นำแสดงและแสดงฉากสตันท์ที่น่าตื่นตะลึงที่สุดในแฟรนไชส์ Mission: Impossible ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมระดับโลกที่กวาดรายได้ไปกว่า 2.8 พันล้านเหรียญทั่วโลก ทำให้มันเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ และบัดนี้ เขาได้กลับมารับบท อีธาน ฮันท์ หัวหน้าทีมอิมพอสซิเบิล มิชชัน ฟอร์ซ (ไอเอ็มเอฟ) อีกเป็นครั้งที่หก
ครูซกล่าวว่า Mission: Impossible – Fallout เป็นบทสรุปของภาพยนตร์หลายภาคที่ผ่านมาของแฟรนไชส์นี้ “คุณจะได้เห็นตัวละครต่างๆ ที่ถูกนำกลับมาและเส้นเรื่องต่างๆ ที่ถูกนำมาสู่บทสรุปครับ” เขากล่าว “ในตอนเริ่มต้นเรื่อง หนังสือเรื่อง The Odyssey ถูกเลือกมาด้วยเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงมากๆ การเดินทางที่ อีธาน ฮันท์ ตัวละครของผมและทีมของเขาต้องเจอเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ที่ได้แรงบันดาลใจและสะท้อนถึงเรื่องราวนั้น มันเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่ และมันก็มีส่วนเกี่ยวข้องทางอารมณ์มากมายสำหรับตัวละครครับ”
มือเขียนบทและผู้กำกับคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ตั้งข้อสังเกตว่า ครูซ ผู้เริ่มต้นแฟรนไชส์นี้ในปี 1996 มีความเข้าใจที่ไม่มีใครเทียบเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์ Mission: Impossible ประสบความสำเร็จ “ทอมเป็นผู้รักษาเปลวเพลิงเอาไว้ เขาเป็นคนทำหนังตามสัญชาตญาณที่อารมณ์อ่อนไหวมากๆ เขารู้จักอีธาน ฮันท์และเขาก็รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ด้วยสัญชาตญาณครับ”
แม็คควอร์รีย์เชื่อว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้แฟรนไชส์นี้ยังคงได้รับความนิยมคือความปรารถนาที่ไม่เคยจืดจางของครูซในการทำให้แต่ละภาคมีความตื่นเต้นและเข้มข้นกว่าภาคที่แล้ว “มันไม่เคยหยุดนิ่งครับ” ผู้กำกับ ผู้ได้กำกับ Mission: Impossible – Rogue Nation ในปี 2015 กล่าว “แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันไม่เคยลืมผู้ชม ไม่ว่ายังไง ทอมก็เป็นผู้ให้ความบันเทิง ทุกสิ่งที่เขาทำในหนังคือการพาคุณไปยังที่ต่างๆ ที่คุณไม่เคยไป การแสดงให้คุณเห็นในสิ่งที่คุณไม่เคยเห็น และพาคุณไปสู่ประสบการณ์ต่างๆ ร่วมกับเขาครับ”
สำหรับ Mission: Impossible – Fallout แม็คควอร์รีย์กระตือร้นในการล้วงลึกเข้าไปในแง่มุมมที่มืดหม่นและมีความเป็นมนุษย์มากกว่าของตัวละครเอกของเรื่อง “อีธานมีความลึกลับนิดๆ เสมอครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “ครั้งนี้ ผมอยากจะล้วงเข้าไปในหัวของเขามากขึ้นและสัมผัสถึงความผูกพันที่เขามีต่อคนอื่นๆ ชื่อเรื่องนี้ไม่ได้หมายถึงการระเบิดนิวเคลียร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลลัพธ์ที่ตรงข้ามกับความปรารถนาดีทั้งหมดของอีธานด้วย เขาเดินเข้าไปในสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุม และเขาก็ต้องผ่านมันไปให้ได้แม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองถูกบงการอยู่ก็ตาม”
หัวใจสำคัญของเรื่องราวนี้คือการตัดสินใจที่เจ็บปวดของฮันท์ ที่ตามมาหลอกหลอนเขา ไมเออร์สอธิบายว่า “ในตอนแรก เราพบว่าอีธานกำลังตกที่นั่งลำบาก เขาได้ทำผิดพลาด และเขาก็เจอกับเรื่องต่างๆ ในอดีต ที่มีผลกระทบทางอารมณ์ เขาต้องตัดสินใจว่า เขาจะช่วยเพื่อนและครอบครัว หรือจะช่วยคนเป็นล้านๆ คนจากอำนาจทำลายล้างที่เขากำลังต่อสู้อยู่ เขาจะต้องทำการล้วงลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของตัวเองครับ”
ครูซสวมบทตัวละครตัวนี้ในแบบที่นักแสดงแอ็กชันน้อยคนนักจะทำ ผู้อำนวยการสร้างเจค ไมเออร์สกล่าวเสริม “ทอมไม่เพียงแต่ใส่ดรามาที่ยอดเยี่ยมเข้าไปในบทนี้เท่านั้น แต่เขายังมีทักษะทางกายภาพที่จะทำในสิ่งต่างๆ ที่นักแสดงคนอื่นทำไม่ได้ด้วย ทั้งด้วยการฝึกฝนและความกล้าหาญ ผมคิดว่าคุณสามารถแบ่งแยกแฟรนไชส์แอ็กชันอื่นๆ ส่วนใหญ่จากดาราของเรื่องได้ แต่ถ้าไมมีทอม ก็ไม่มีอีธาน ฮันท์ครับ อย่างน้อยก็ไม่ใช่อีธาน ฮันท์ที่ผู้ชมทั่วโลกให้การยอมรับแบบนี้”
ผู้กำกับหวนคืน ตามคำขอของครูซ แม็คควอร์รีย์กลายเป็นผู้กำกับคนแรกที่ได้กลับมากำกับ Mission: Impossible เป็นครั้งที่สอง “หนึ่งในองค์ประกอบที่เป็นสัญลักษณ์ของแฟรนไชส์นี้คือการมีผู้กำกับแตกต่างกันไปในแต่ละภาค” แม็คควอร์รีย์อธิบาย “ตอนที่ทอมขอให้ผมกลับมากำกับภาคนี้ ผมก็บอกว่าผมจะทำภายใต้เงื่อนไขที่ผมจะสามารถรักษาจิตวิญญาณของธรรมเนียมนั้นไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงภาษาภาพวิชวลจากภาคที่แล้ว ผมอยากให้คนที่ดู Rogue Nation และ Fallout รู้สึกเหมือนมีคนสองคนกำกับมันน่ะครับ”
นั่นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้สำหรับครูซ ผู้มีความชื่นชมต่อความสามารถของแม็คควอร์รีย์ในฐานะผู้กำกับเนื่องจากทั้งคู่ได้ร่วมงานกันเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์แอ็กชันทริลเลอร์ปี 2012 เรื่อง Jack Reacher “ผมชอบการได้ทำงานร่วมกับแม็คคิวครับ” ครูซกล่าว “เขามีความสามารถมาก เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงสไตล์วิชวลเพื่อให้ดูเหมือนว่าคนอื่นเป็นคนกำกับ และเขาก็ทำสำเร็จ แต่มันก็ยังคงมีความคิดอ่านด้านการเล่าเรื่องที่เด่นชัดในแบบของเขา ผมชอบความแข็งกร้าวของหนังเรื่องนี้และตัวละครในเรื่อง เราทุ่มเทกันเต็มที่ ผมอดใจรอให้ผู้ชมได้ดูหนังเรื่องนี้ไม่ไหวเลยครับ”
ระหว่างการร่วมงานกันในภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ทั้งสามเรื่อง แม็คควอร์รีย์และครูซได้พัฒนาสายสัมพันธ์ส่วนตัวและหน้าที่การงานที่ใกล้ชิด “พวกเขามีวิธีการสื่อสารทางลัดที่ยอดเยี่ยมครับ” ไมเออร์สตั้งข้อสังเกต “แม็คควอร์รีย์เป็นคนที่ทอมไว้ใจและรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ด้วย พวกเขาสองคนมักทำงานในสิ่งต่างๆ และเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เสมอ ซึ่งทำให้การอำนวยการสร้างยากขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ทำให้หนังดีขึ้นเยอะครับ”
สมกับชื่อเสียงของเขา แม็คควอร์รีย์ เจ้าของรางวัลออสการ์จากบทภาพยนตร์เรื่อง The Usual Suspects ยังคงปรับเปลี่ยนเรื่องราวหลายครั้งแม้แต่ระหว่างการถ่ายทำ “คริสทำให้บทหนังเรื่องนี้มีชีวิตชีวาครับ” เฮนรี คาวิล นักแสดงหนุ่มกล่าว “เขาเป็นมือเขียนบทที่เก่งมากๆ และฉลาดๆ ในเรื่องของตัวละคร เขาฉลาดมากในการนำตัวละครเหล่านั้นไปอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดสุดๆ ที่พวกเขาจะรอดชีวิตได้ด้วยการเติบโต ปรับตัวหรือพัฒนาขึ้น ในฐานะนักแสดง ผมค่อนข้างจะชื่นชอบเรื่องนั้นเพราะคุณจะเคลื่อนไหวและปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับมนุษย์เราในชีวิตจริงนี่ล่ะครับ”
นักแสดงหญิง รีเบ็กก้า เฟอร์กูสันกล่าวเห็นพ้องด้วย “มันเป็นวิธีถ่ายทำแบบใหม่สำหรับฉันค่ะ ฉันชอบมันเพราะมันทำให้คุณตื่นตัวอยู่เสมอ คุณก็แค่ต้องปลอยวางและคอยควบคุมตัวละครของคุณเองค่ะ”
Mission: Impossible – Fallout มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล-ฟอลล์เอ้าท์
มีกำหนดฉายไทย 26 กรกฎาคม ในโรงภาพยนตร์