ขอเชิญชาวหนังดีทุกคนมาวิพากษ์วิจารณ์หนังเรื่องนี้กันใครไปดูมาแล้ว เป็นยังไงหนุกไม่หนุกบอกกันมาเลย
*** หากจะสปอยล์เนื้อหาบางส่วนของเรื่อง แนะนำให้เตือนสมาชิกคนอื่นๆ ล่วงหน้า
โดยให้สมาชิกคนอื่นได้เห็นคำว่า สปอยล์ หรือ Spoil กันอย่างชัดเจนด้วยนะจ๊ะ
ความคิดเห็นที่ 16 จากคุณ วัสสการ ชาตศัตรู 11 ก.ค. 2557 13:36 น.
เอออุเหม่***นะหนัง***ชิช่าง*** ทุทาสต่ำสถุลอัปรีย์ฉะนี้ไฉน ก็ทำเป็น
ความคิดเห็นที่ 15 จากคุณ อุบาทว์ *** 11 ก.ค. 2557 13:26 น.
พวกไพร่สัตว์ประหลาดครัวนี้เป็น***อะไร อีเมียคางคกหน้าปลวก ก็เพิ่งเล่นหนังลวนลามปล้ำผู้ชายไปไม่ทันพ้นโรงฯ ไอ้ผัวหัวเหลี่ยมเตี้ย****** ก็ใช้หน้าที่การงานบังหน้า หาเศษหาเลยกับเพื่อนลูกสาว จำเริญพวงจริงๆ
ความคิดเห็นที่ 14 จากคุณ ใคร คือรายต่อไป??? 11 ก.ค. 2557 04:43 น.
สาวป.โท เหยื่อข่มขืนบนรถไฟตู้นอนเมื่อ 13ปีที่แล้ว ส่งจม.เปิดผนึกถึงคสช.-การรถไฟฯ รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงกับเหตุที่เกิดขึ้นซ้ำ เผยยังไม่ได้เงินเยียวยา แถมถูกบีบให้ออกจากงาน ต้องเข้ารพ.บำบัดจิต จี้"ผู้ว่าฯรฟท."พิจารณาตัวเอง... เมื่อวันที่ 8 ก.ค. มีรายงานว่า หญิงสาวผู้เสียหายที่ถูกลูกจ้างชั่วคราวการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ข่มขืนกระทำชำเราบนขบวนรถไฟตู้นอน เมื่อ 13 ปีก่อน ในปี 2544 ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกจาก กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ถึง หัวหน้า คสช. และการรถไฟแห่งประเทศไทย ในเรื่อง ความรับผิดชอบต่อผู้โดยสาร ในคดีข่มขืนบนรถไฟ โดยระบุว่า ได้รับข่าวสารจากทางเมืองไทย แค่ได้อ่านหัวข้อข่าวว่า มีเหตุข่มขืนแล้วฆ่าบนรถไฟสายใต้ ทำให้รู้สึกเจ็บและปวดที่หัวใจอย่างรุนแรง "มันเกิดขึ้นอีกแล้วหรือ ?" "ทำไมฉัน ไม่เป็นคนสุดท้าย ? ทำไมต้องเป็นน้องเขา ? ทำไม ?" หญิงสาวคนดังกล่าว ยังระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อ 13 ปีที่แล้ว หากยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 เกิดคดีข่มขืนหญิงสาวปริญญาโทบนตู้นอน บนขบวนรถไฟสายใต้ คดีนี้เป็นข่าวครึกโครม การรถไฟฯได้ไล่ผู้กระทำผิดออกจากงาน และศาลอาญาได้ตัดสินจำคุกจำเลยเป็นเวลา 9 ปี ส่วนในคดีแพ่ง ศาลชั้นต้น และศาลอุธรณ์ ได้ตัดสินให้การรถไฟฯและจำเลย ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้แก่โจทก์ นับจากวันนั้นถึงวันนี้ 13 ปีผ่านไปแล้ว แต่คดีก็ยังไม่ถึงที่สุด ทำให้ไม่ได้รับการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย เพราะการรถไฟฯได้ยื่นฎีกาขอทุเลาคดี และทำให้การเยียวยาของตนได้รับความล่าช้าออกไปเรื่อยๆ "หลายท่านคงไม่รู้ว่า หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนชีวิต และสุขภาพดิฉันไปตลอดกาลอย่างสิ้นเชิง ท่านรู้หรือไม่? ดิฉันต้องถูกบีบบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้ดี เพราะในสายตาของผู้บริหาร ดิฉันได้นำความเสื่อมเสียมาสู่องค์กร เพราะในการเดินทางครั้งนั้น ดิฉันไปทำงานในนามของบริษัท ดิฉันต้องเข้าโรงพยาบาลทางจิตติดต่อกันมาหลายปี มีอาการประสาทหลอน ควบคุมสติไม่ได้ ต้องเข้าบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง ทุกคืนวัน ดิฉันมีอาการฝันร้าย ผวาและหวาดกลัวคนรอบข้าง ไม่ไว้วางใจผู้คน วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า นานนับหลายปี ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีอาการสั่นของมือ และเมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ แม้แต่เพียงเล็กน้อย ดิฉันจะมีภาวะตระหนก ควบคุมตนเองไม่ได้ และหลายต่อหลายครั้งถึงกับหน้ามืดเป็นลมหมดสติ ซึ่งอาการเหล่านี้แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานถึง 13 ปี ดิฉันก็ยังประสบความยากลำบากที่จะมีชีวิตเยี่ยงคนปกติ ด้วยความอ่อนแอทางสุขภาพจิตและการต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องหลายปี ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต้องประสบกับความอับอายในสังคม ทำให้ดิฉันต้องระเห็จมาตั้งต้นชีวิตใหม่ในต่างประเทศอย่างยากลำบาก และรอคอยกระบวนการยุติธรรมที่ถูกทำให้ล่าช้า อย่างไม่เห็นแก่มนุษยธรรมของท่าน" พร้อมย้ำว่า หลังจากอ่านหัวข้อข่าว ทำให้ตนเองรู้สึกแย่มาก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าหัวใจถูกบีบอย่างแรง มันเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เพิ่งเกิดขึ้น และมันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งตนเองไม่สามารถที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนี้เป็นตัวอักษรได้ เพราะมันเจ็บปวดเกินกว่าที่จะพูดออกมาได้ โดยได้ทราบข่าวเวลา 3 ทุ่มของประเทศกรีซ หลังจากนั้นได้หมดสติไป มาเริ่มรู้สึกตัวประมาณเที่ยงคืน แต่ก็พยายามฝืนที่จะพิมพ์จดหมายฉบับนี้ เพราะต้องการสื่อสารถึงคนในสังคมไทย ว่าถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สังคมนี้มีความปลอดภัยมากขึ้น ไม่ต้องคอยระแวงว่า "ใคร คือรายต่อไป" อย่างไรก็ตาม จากคดีของตน ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางการแพทย์ ทางกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม แต่นั่นก็ยังไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เพราะคดีข่มขืนก็ยังเกิดขึ้นอีกแทบทุกวัน โดยคาดหวังให้มีบทลงโทษที่รุนแรง ในคดีข่มขืน และมีการป้องกัน บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง เพราะมันอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้เหตุนี้เกิดขึ้นน้อยลง จนไม่เกิดขึ้นเลย และจะเป็นไปได้หรือไม่ จึงขอฝากไปถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่จะสามารถทำให้เกิดบทลงโทษที่รุนแรง มากกว่านี้ หรือว่าต้องรอให้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของท่านก่อน "ดิฉันขอแสดงความเสียใจกับบิดาและมารดาของน้องที่เสียชีวิต ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสีย เพราะดิฉันก็ได้เสียมารดา เนื่องจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันเช่นกัน ดิฉันอยากจะบอกว่าน้องเขาไปดีแล้ว น้องเขาโชคดีกว่าดิฉันเยอะ เพราะทุกวันนี้ดิฉันมีชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น 10 กว่าปีที่ผ่านมา ดิฉันไม่เคยนอนหลับตอนกลางคืนเลย มันยากที่จะลืม" นอกจากนี้ ขอฝากข้อความไปถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมือง, ผู้ว่าการการรถไฟฯคนปัจจุบัน ว่า "ท่านมั่นใจเหรอคะ ว่า 117 ปี ของการรถไฟฯ ไม่เคยมีคดีร้ายแรง มีแต่อนาจาร ดิฉันไม่ทราบว่า ท่านมาบริหารองค์กรนี้ได้อย่างไร ท่านไม่เคยทราบเลยหรือคะ ว่า องค์กรของท่านเคยเกิดเหตุคดีข่มขืนบนรถไฟสายใต้ ขณะที่รถไฟยังวิ่ง โดยผู้ก่อเหตุเป็นพนักงานขององค์กรของท่านเอง ท่านไม่เคยทราบเลยหรือคะ ท่านคิดว่า ท่านสมควรที่จะเป็นผู้บริหารองค์กรนี้ต่อไปหรือคะ คดีของดิฉัน 13 ปีแล้วค่ะ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรคะ ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างตลอดกาลของดิฉัน การรถไฟฯเห็นว่า การเยียวยาชดใช้ช่วยเหลือความเสียหายมันตีเป็นตัวเงินเมื่อเทียบกับชีวิตของ ดิฉันได้หรือคะ ทำไมต้องใช้เวลาเตะถ่วงถึง 13 ปี จนบัดนี้ ดิฉันมีลูกชายวัยเด็กที่ดิฉันต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู ด้วยสุขภาพทั้งกายทั้งจิตที่บอบช้ำอย่างหนัก แต่สำหรับท่าน เงินเพียงเล็กน้อยเท่านี้เท่าที่ศาลท่านสั่งให้ชดใช้ ท่านคิดว่ามากไปหรือคะ ช่วยกรุณาตอบดิฉันด้วย และเหตุการณ์ของน้องแก้ม ที่เพิ่งเกิดขึ้น ท่านจะพูดว่าอะไรคะ ท่านจะดำเนินการอย่างไร ไล่พนักงานคนนั้นออก แล้วก็จบ เหมือนคดีของดิฉันใช่มั้ยคะ คำว่า "ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" ที่ท่านผู้ว่าฯ คนก่อนโน้นเคยกล่าวกับดิฉัน ท่านก็กำลังจะกล่าวคำนี้เช่นกัน กับมารดาของน้องแก้มใช่มั้ยคะ .....ดิฉันอยากถามว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของท่าน ท่านจะกล่าวคำว่าอะไร ?"
ความคิดเห็นที่ 13 จากคุณ ใคร คือรายต่อไป 11 ก.ค. 2557 04:42 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2557 ผู้เสียหายที่ถูกพนักงานการรถไฟแห่งประเทศข่มขืนบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกจาก กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ถึง หัวหน้า คสช. และ การรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบต่อผู้โดยสาร ในคดีข่มขืนบนรถไฟ พร้อมทั้งเสนอให้มีการเพิ่มโทษเพื่อลดปัญหาอาชญากรรม มีใจความดังนี้ เรียน ท่านสื่อมวลชน ผ่านไปยัง หัวหน้า คสช. / การรถไฟแห่งประเทศไทย เรื่อง ความรับผิดชอบต่อผู้โดยสาร ในคดีข่มขืนบนรถไฟ วันนี้ ดิฉันได้รับข่าวสารจากทางเมืองไทย แค่ได้อ่านหัวข้อข่าวว่า มีเหตุข่มขืนแล้วฆ่าบนรถไฟสายใต้ ดิฉันก็รู้สึกเจ็บและปวดที่หัวใจผู้อย่างรุนแรง "มันเกิดขึ้นอีกแล้วหรือ ?" "ทำไมฉัน ไม่เป็นคนสุดท้าย ? ทำไมต้องเป็นน้องเขา ? ทำไม ?" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง เมื่อ 13 ปีที่แล้ว หากท่านยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 เกิดคดีข่มขืนหญิงสาวปริญญาโทบนตู้นอน บนขบวนรถไฟสายใต้ คดีนี้เป็นข่าวครึกโครม การรถไฟฯได้ไล่ผู้กระทำผิดออกจากงาน และศาลอาญาได้ตัดสินจำคุกจำเลยเป็นเวลา 9 ปี ส่วนในคดีแพ่ง ศาลชั้นต้น และศาลอุธรณ์ ได้ตัดสินให้การรถไฟฯและจำเลย ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้แก่โจทก์ นับจากวันนั้นถึงวันนี้ 13 ปีผ่านไปแล้ว แต่คดีก็ยังไม่ถึงที่สุด ดิฉันก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย เพราะการรถไฟฯได้ยื่นฎีกาขอทุเลาคดี และทำให้การเยียวยาของดิฉันได้รับความล่าช้าออกไปเรื่อยๆ หลายท่านคงไม่รู้ว่า หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนชีวิต และสุขภาพดิฉันไปตลอดกาลอย่างสิ้นเชิง ท่านรู้หรือไม่? ดิฉันต้องถูกบีบบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้ดี เพราะในสายตาของผู้บริหาร ดิฉันได้นำความเสื่อมเสียมาสู่องค์กร เพราะในการเดินทางครั้งนั้น ดิฉันไปทำงานในนามของบริษัท ดิฉันต้องเข้าโรงพยาบาลทางจิตติดต่อกันมาหลายปี มีอาการประสาทหลอน ควบคุมสติไม่ได้ ต้องเข้าบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง ทุกคืนวัน ดิฉันมีอาการฝันร้าย ผวาและหวาดกลัวคนรอบข้าง ไม่ไว้วางใจผู้คน วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า นานนับหลายปี ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีอาการสั่นของมือ และเมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ แม้แต่เพียงเล็กน้อย ดิฉันจะมีภาวะตระหนก ควบคุมตนเองไม่ได้ และหลายต่อหลายครั้งถึงกับหน้ามืดเป็นลมหมดสติ ซึ่งอาการเหล่านี้แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานถึง 13 ปี ดิฉันก็ยังประสบความยากลำบากที่จะมีชีวิตเยี่ยงคนปกติ ด้วยความอ่อนแอทางสุขภาพจิตและการต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องหลายปี ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต้องประสบกับความอับอายในสังคม ทำให้ดิฉันต้องระเห็จมาตั้งต้นชีวิตใหม่ในต่างประเทศอย่างยากลำบาก และรอคอยกระบวนการยุติธรรมที่ถูกทำให้ล่าช้า อย่างไม่เห็นแก่มนุษยธรรมของท่าน หลังจากอ่านหัวข้อข่าว ดิฉันรู้สึกแย่มาก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าหัวใจถูกบีบอย่างแรง มันเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เพิ่งเกิดขึ้น และมันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ดิฉันไม่สามารถที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนี้เป็นตัวอักษรได้ เพราะมันเจ็บปวดเกินกว่าที่จะพูดออกมาได้ ดิฉันทราบข่าวเวลา 3 ทุ่มของประเทศกรีซ หลังจากนั้น ดิฉันหมดสติ มาเริ่มรู้สึกตัวประมาณเที่ยงคืน แต่ดิฉันก็พยายามฝืนที่จะพิมพ์จดหมายฉบับนี้ เพราะต้องการสื่อสารถึงคนในสังคมไทย ว่าถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สังคมนี้มีความปลอดภัยมากขึ้น ไม่ต้องคอยระแวงว่า "ใคร คือรายต่อไป" จากคดีของดิฉัน ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางการแพทย์ ทางกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม แต่นั่นก็ยังไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เพราะคดีข่มขืนก็ยังเกิดขึ้นอีกแทบทุกวัน ดิฉันคาดหวังให้มีบทลงโทษที่รุนแรง ในคดีข่มขืน และมีการป้องกัน บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง เพราะมันอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้เหตุนี้เกิดขึ้นน้อยลง จนไม่เกิดขึ้นเลย........จะเป็นไปได้มั้ยคะ ขอฝากไปถึงท่านผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่จะสามารถทำให้เกิดบทลงโทษที่รุนแรงมากกว่านี้ หรือว่าต้องรอให้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของท่านก่อน ดิฉันขอแสดงความเสียใจกับบิดาและมารดาของน้องที่เสียชีวิต ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสีย เพราะดิฉันก็ได้เสียมารดา เนื่องจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันเช่นกัน ดิฉันอยากจะบอกว่าน้องเขาไปดีแล้ว น้องเขาโชคดีกว่าดิฉันเยอะ เพราะทุกวันนี้ดิฉันมีชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น 10 กว่าปีที่ผ่านมา ดิฉันไม่เคยนอนหลับตอนกลางคืนเลย มันยากที่จะลืม สุดท้ายนี้ ดิฉันขอฝากข้อความไปถึงท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมือง, ผู้ว่าการการรถไฟฯคนปัจจุบัน ว่า ท่านมั่นใจเหรอคะ ว่า 117 ปี ของการรถไฟฯ ไม่เคยมีคดีร้ายแรง มีแต่อนาจาร ดิฉันไม่ทราบว่า ท่านมาบริหารองค์กรนี้ได้อย่างไร ท่านไม่เคยทราบเลยหรือคะ ว่า องค์กรของท่านเคยเกิดเหตุคดีข่มขืนบนรถไฟสายใต้ ขณะที่รถไฟยังวิ่ง โดยผู้ก่อเหตุเป็นพนักงานขององค์กรของท่านเอง ท่านไม่เคยทราบเลยหรือคะ ท่านคิดว่า ท่านสมควรที่จะเป็นผู้บริหารองค์กรนี้ต่อไปหรือคะ คดีของดิฉัน 13 ปีแล้วค่ะ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรคะ ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างตลอดกาลของดิฉัน การรถไฟฯเห็นว่า การเยียวยาชดใช้ช่วยเหลือความเสียหายมันตีเป็นตัวเงินเมื่อเทียบกับชีวิตของดิฉันได้หรือคะ ทำไมต้องใช้เวลาเตะถ่วงถึง 13 ปี จนบัดนี้ ดิฉันมีลูกชายวัยเด็กที่ดิฉันต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู ด้วยสุขภาพทั้งกายทั้งจิตที่บอบช้ำอย่างหนัก แต่สำหรับท่าน เงินเพียงเล็กน้อยเท่านี้เท่าที่ศาลท่านสั่งให้ชดใช้ ท่านคิดว่ามากไปหรือคะ ช่วยกรุณาตอบดิฉันด้วย และเหตุการณ์ของน้องแก้ม ที่เพิ่งเกิดขึ้น ท่านจะพูดว่าอะไรคะ ท่านจะดำเนินการอย่างไร ไล่พนักงานคนนั้นออก แล้วก็จบ เหมือนคดีของดิฉันใช่มั้ยคะ คำว่า "ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" ที่ท่านผู้ว่าฯ คนก่อนโน้นเคยกล่าวกับดิฉัน ท่านก็กำลังจะกล่าวคำนี้เช่นกัน กับมารดาของน้องแก้มใช่มั้ยคะ .....ดิฉันอยากถามว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของท่าน ท่านจะกล่าวคำว่าอะไร ????????????
ความคิดเห็นที่ 12 จากคุณ ทาสรักนักข่มขืน 11 ก.ค. 2557 04:40 น.
สาวปริญญาโท ผู้เสียหายคดีข่มขืนบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน เตรียมบินกลับไทยกลางเดือนนี้ เพื่อเข้าพบ คสช. กับผู้ว่าการรถไฟฯ ขอความเป็นธรรมและเร่งรัดการจ่ายเงินเยียวยาหลังถูกการรถไฟฯ ยื้อมานาน ระบุไม่เห็นด้วยให้เพิ่มโทษประหารชีวิตในคดีข่มขืน เพราะคนกระทำมักขาดสติ ไม่คำนึงถึงโทษที่จะได้รับอยู่แล้ว แนะควรเร่งปรับปรุงระบบป้องกันและคุ้มครองความปลอดภัยของสตรี นางสาวนามสมมุติ สาวปริญญาโท ผู้เสียหายที่ถูกลูกจ้างการรถไฟฯ ข่มขืนบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน ให้สัมภาษณ์พิเศษสำนักข่าวไทยว่า กลางเดือนนี้จะเดินทางกลับมาประเทศไทย โดยตั้งใจว่าจะขอพบและยื่นหนังสือกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้ช่วยเร่งรัดการชดใช้ค่าเสียหายในคดีแพ่งของการรถไฟฯ กับจำเลย ซึ่งเดิมได้ยื่นฟ้องไป 18 ล้านบาท โดยศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ได้พิพากษาให้การรถไฟฯ และจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดแก่ตนเป็นจำนวน 3,077,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง คือวันที่ 16 กรกฎาคม 2545 แต่การรถไฟฯ ได้ยื่นฎีกาขอทุเลาคดี ทำให้การเยียวยาชดเชยล่าช้าออกไป นอกจากนี้จะไปขอบคุณเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อนหญิง ที่ปัจจุบันแยกออกมาเป็นมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ที่คอยช่วยเหลือตนมาตั้งแต่เกิดเรื่อง รวมทั้งจัดหาทนายความในส่วนคดีอาญาให้ และสภาทนายความที่จัดหาทนายความส่วนคดีแพ่งให้ "จะไปยื่นหนังสือถึง คสช. และขอพบผู้ว่าการรถไฟฯ เพราะ 13 ปีแล้วคดีแพ่งยังไม่จบ อยากให้จบเร็วๆ เพราะไม่อยากจมกับอดีตอีก ก่อนหน้านี้เรียกร้องหลายอย่าง ค่าชดเชยและความปลอดภัย แต่ก็เงียบหาย แล้วก็มาเกิดเหตุกับน้องแก้มซึ่งร้ายแรงกว่า อยากให้จบแค่นี้ และไม่อยากให้มีใครต้องโดนแบบตนหรือน้องแก้มอีก ถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นเชื่อว่าตนหาเงินได้มากกว่านี้ อยากบอกว่าเงินกี่สิบล้านก็ชดเชยไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองเสียไป เพียงแต่เงินตรงนี้อาจจะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ลดภาวะเครียดในการดำรงชีวิต และมีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไปได้" ส่วนข้อเสนอให้เพิ่มโทษประหารชีวิตในคดีข่มขืนนั้น นางสาวนามสมมุติ กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าการเพิ่มโทษการข่มขืนด้วยโทษประหารชีวิตจะทำให้คดีข่มขืนลดลง เนื่องจากเชื่อว่าคนที่กระทำการข่มขืน ณ ขณะนั้นล้วนขาดสติ ไม่มาคำนึงถึงโทษที่จะได้รับว่ามากน้อยอย่างแน่นอน ดังนั้น อยากเสนอให้เร่งปรับปรุงระบบป้องกันและการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการปรับปรุงระบบคุ้มครองความปลอดภัยของสตรีมากกว่า และควรเน้นรณรงค์การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น อาทิ จำคุกตลอดชีวิต "หากใช้อารมณ์ตอบก็คงจะบอกว่าเห็นด้วย แต่ถ้าใช้สติคิดก็คิดว่าไม่เห็นด้วย เราควรเน้นการแก้ไข ไม่ใช่การแก้แค้น ตนคิดว่ากระแสสังคมตอนนี้อยู่ในอารมณ์โกรธแค้น อยากให้ทุกคนใช้สติมากกว่า เพราะยังไงคนที่จะข่มขืนขาดสติแล้ว ตอนนั้นคงไม่มีใครมาคิดถึงโทษที่จะได้รับว่ามากหรือน้อย" สาวปริญญาโท กล่าว สาวปริญญาโทยังกล่าวถึงกรณีของผู้ว่าการรถไฟฯ ที่มีกระแสเรียกร้องให้รับผิดชอบด้วยการลาออกว่า ส่วนตัวเห็นว่าการลาออกไม่ใช่การแก้ปัญหา และยังอยากให้เวลาผู้ว่าการรถไฟฯ พิสูจน์ตัวเองว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ โดยเฉพาะความปลอดภัย และการรื้อระบบโครงสร้างของการรถไฟฯ ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้จริงหรือไม่.